วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

เมืองไทยที่คิดคำนึง ๑

ข้าพเจ้าได้ย่างเข้าสู่วัยกลางคนเป็นที่เรียบร้อย หากจะพูดว่าข้าพเจ้าได้สั่งสมประสบการณ์และโลกทรรศมากขึ้นย่อมไม่ผิด กระบวนการและความสลับซับซ้อนทางความคิดทวีขึ้นเป็นลำดับ ความรู้สึกนึกคิดตีรวนไม่เป็นกระบวนสลับซับซ้อนโยงใยกันไม่เป็นระบบเอาเสียเลย บางครั้งเมื่อความรู้สึกใหม่ที่ผุดขึ้นในหัวใจและความคิด ข้าพเจ้าพบว่าความรู้สึกเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วกับข้าพเจ้าในอดีต และบางความคิดความรู้สึกมันก็ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับอดีตกาล


เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้านั่งดูรายการ "ฉันรักเมืองไทย" ทางช่องโมเดิร์น ๙ ทีวี (๑๑.๐๔.๒๐๑๐) เขานำฝรั่งมิชชั่นนารีจากสหรัฐอเมริกาที่อุทิศตัวเพื่อยกระดับจากความไร้โอกาสของชนเผ่าตองเหลืองสู่ความด้อยโอกาส (เพราะมันก็ยังมีโอกาสบ้างแม้จะไม่มากก็ตาม) มาถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกที่เขาเหล่านั้นมีต่อเมืองไทย เขาบอกว่าเขารักเมืองไทย เขารักคนไทย คนไทยพูดกันรู้เรื่อง มีความเป็นมิตรสูง


ข้าพเจ้าเองก็เติบโตขึ้นมาในประเทศนี้ถือสัญชาติไทย แต่โดยกำพืดนั้นเชื้อชาติมาลายู ในวัยเด็กข้าพเจ้ารับเอาความเป็นสัญชาติไทยอย่างเต็มพิกัดเท่าที่สังคมตีกรอบแถบภาคใต้ของไทยจะอำนวย ข้าพเจ้ารับความเป็นสัญชาติไทยจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในโรงเรียนแถวบ้าน, เพลงชาติเวลา ๘.๐๐ น. และเวลา ๑๘.๐๐ น., โทรทัศน์, สตรีสาร, ละครหลังข่าว, การ์ตูนทางช่อง ๙ ในวันหยุด, โดราเอม่อน, รายการพิเศษวันนักขัตฤกษ์, แนวความคิดแผ่ซ่านจากส่วนกลาง, และค่านิยม (แม้สังคมวางกรอบแถบภาคใต้พยายามสกัดกั้นค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศก็ตาม) 


ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ชอบความเป็นสัญชาติไทยเอาเสียเลย ด้วยเพราะค่านิยมและแนวคิดจากส่วนกลางเองที่ทำให้คนไทยแม้จะเป็นเชื้อชาติไทยเองมิได้รู้สึกภูมิในความเป็นคนชาตินี้ เขายกย่องฝรั่งมังค่ากันทั้งประเทศ คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ถือเป็นคนอีกชนชั้น และหากได้ไปศึกษาต่อในประเทศตะวันตกด้วยแล้วคนไทยด้วยกันเองจะยกย่องเทิดทูนเอามาก (เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว) ข้าพเจ้าเองก็มองว่าประเทศเราทำไมถึงล้าหลังเช่นนี้ ประชากรมัวเมาอยู่แต่อบายมุขทุกชนิด นักการเมืองเป็นคนชนิดที่สกปรกที่สุด ความเจริญกระจุกตัวอยู่แต่ส่วนกลางและไอ้ที่กระจุกตัวอยู่นั้นก็เป็นพิษต่อประชากรของประเทศเองไม่ใช่น้อย ข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างแลออกไปนอกประเทศ ข้าพเจ้าอยากจะหลุดพ้นจากหล่มตรงนี้ อยากจะคลุกคลีกับคนที่เจริญกว่า และดีกว่าประเทศไทย


โอกาสหลายอย่าง และสิ่งหลายสิ่งได้พัดผ่านเข้ามาในชีวิต ได้มองโลกในมุมต่างๆ นอกจากมุมเมืองไทย แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้เดินทางไปทั่วโลก แต่โอกาสที่ทรงประทานมานั้นก็ดีกว่าคนหลายคนในประเทศนี้มากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา และโอกาสทางสัมมาอาชีพ พบปะผู้คนหลากหลายชาติพรรณ สัมผัสความคิดและโลกทรรศที่แตกต่าง มิหนำซ้ำการเป็นคนลักษณะเช่นข้าพเจ้านั้นจะถูกหล่อหลอมด้วยเงื่อนไขและบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในบางด้านของชีวิต เมื่อถูกล้อมกรอบด้วยเงื่อนไขและปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของตนเอง ข้าพเจ้าจึงพยายามมองหาทางออกเพื่อจะได้ผ่อนคลายและเป็นสุขแม้จะต้องอยู่ในกรอบที่ไม่อาจปฏิเสธและหลีกหนีได้ 


ข้าพเจ้าค้นหาและสังเกตทั้งปัจจัยเงื่อนไขและใจตนเองอยู่เป็นนาน ผ่านการลองผิดลองถูกและความเจ็บปวดทางใจอาจจะเรียกได้ว่า "มีชั่วโมงบินทางใจ" สูงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงพบว่าความเจ็บช้ำทางความรู้สึกของตนเองนั้นมิจำเป็นต้องหาสิ่งใดภายนอกเพื่อมาเยียวยาและรักษา หากแต่ต้องรักษามันจากภายในตน จึงจะอยู่ภายในกรอบที่สยบยอมอย่างมีความสุข......
(มีต่อ)   








  


salindongbayu

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น