วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หากชีวิตคือการต่อสู้

หากชีวิตได้ล่วงผ่านวันเวลาแห่งวัยกำหนัดเริ่มแตะขอบช่วงชีวิตแห่งวัยกลางคน ข้าพเจ้าเริ่มประจักชัดว่า ชีวิตนี้คือแนวทางอันเลี้ยวลดแห่งการต่อสู้อย่างแท้จริง ซึ่งในองศามุมกลับผู้ที่ยอมแพ้ย่อมตกขอบตามเรี่ยรายทาง ชีวิตคือนิยามของการไม่ยอมแพ้ อาจจะท้อได้แต่ยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะความสำเร็จใดๆ ของผู้คนในอดีตล้วนบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่เคยยอมแพ้ ทุกความสำเร็จล้วนไร้ความหมายหากเทียบกับความสุขตามรายทางแห่งการต่อสู้ ขณะที่กำลังต่อสู้นั่นแลคือบริบทแห่งความสุข สุขที่ได้เห็นการเขยิบก้าวอย่างกระชั้นชิดในลู่ทางความสำเร็จ มีสุขขณะนั่งบอกตนเองอย่างคนเก็บกดว่า กูจะไม่ยอมแพ้แม้ห้วงเวลานั้นจะมืดแปดทิศก็ตามที หากเมื่อมองเห็นแสงสว่างเพียงนิดความสุขมหาศาลกลับถาโถมเข้าใส่ในชั่วขณะ


ข้าพเจ้ากำลังต่อสู้กับสุขภาพของตนเอง มันชั่งเป็นอะไรที่น่าทดท้อเหลือกำลัง จุกจิกหยุมหยิม หากแต่ในภาพรวมกลับส่งผลกระทบลูกโซ่ ข้าพเจ้ากำลังหาต้อตอของปัญหาเพื่อจะได้ทุ่มเทสัพพะกำลังต่อสู้อย่างถูกจุด เพราะผลกระทบลูกโซ่ทั้งหลายก็ต้องการๆ ไม่ยอมแพ้เช่นกัน หากทุ่มเทความไม่ยอมแพ้ไม่ถูกจุดมันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อการแก้ปัญหาลูกโซ่ 

ต้องขอบใจกีฬาแบดมินตันมากทีเดียว ที่สอนให้ข้าพเจ้าประจักชัดในความรู้สึกไม่ยอมแพ้ ข้าพเจ้าแข็งขืนไม่ยอมแพ้ต่อความเก่งกาจของผู้อื่น ข้าพเ้จ้าแข็งขืนไม่ยอมแพ้ต่อระดับความสามารถของตนเอง จึงบังเกิดความรู้สึกว่าข้าพเจ้าต้องเรียนรู้เรื่อยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ การเรียนรู้กีฬาชนิดนี้มันไม่ใช่ความสนุกสนานอย่างที่คิดเช่นเริ่มแรก หากแต่ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ชีวิตผ่านกีฬาชนิดนี้ ซึ่งก็ให้เห็นชัดต่อสายตาและความรู้สึกของข้าพเจ้าเองแ้ล้วว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการไม่ยอมแพ้หลอมรวมกัน จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงแม้จะครั้งละน้อยก็ตาม และการเปลี่ยนแปลงในพัฒนาการนั่นแลคือความสุข 


ข้าพเจ้ามีอะไรหลายๆ อย่างที่ยังรอฉนวนการไม่ยอมแพ้ให้ได้ใส่เป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต, ความฝัน, เป้าหมาย, สาธารณประโยชน์, และบุพการี แต่ตอนนี้ขอยัดเยียดการไม่ยอมแพ้เข้าไปในปัญหาสุขภาพเสียก่อนเถอะ