วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเทศของข้าพเจ้า

ขณะนี้เป็นเวลา ๒๒.๒๐ น. ของวันที่ ๒๒.๔.๒๐๑๐ ข้าพเจ้ากำลังอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร
มีการยิงอาวุธสงครามเข้าไปใน สถานีรถไฟฟ้าสีลม ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เฮ้ยนี่มันเมืองหลวงนะ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้งัยว่ะ


ขณะนี้ข้าพเจ้าเกิดอาการติดตามข่าวสารอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยข่าวคราวที่ออกมานั้นสร้างความกังวลใจแก่ประชาชนของประเทศนี้เป็นอย่างหนัก และข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าคงมิใช่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกกังวล เป็นห่วง หวาดกลัว กับความไม่แน่ไม่นอนของบ้านเมืองยามนี้คงได้แพร่กระจายเข้าสู่หัวใจและความนึกคิดของประชาชนหมู่มากโดยเฉพาะผู้ที่รักและต้องการให้บ้านเมืองกลับมาสงบอย่างบริสุทธิ์ใจทุกผู้ทุกนาม


แต่ก่อนนั้นเราเป็นกังวลต่อสังคมของบ้านเมืองที่นับวันจะเหลวแหลกและเละเทะ ข่าวการล่วงประเวณี หรือแม้แต่การยินยอมของหญิงสาวเอง การขาดจริยธรรมและการยึดติดในวัตถุของคนในสังคม ปัญหาเด็ก ปัญหาครอบครัว ปัญหายาเสพติด เรานำมันมาวิพากษ์วิจารณ์หาสาเหตุและหาทางออก แต่มาวันนี้เรากลับต้องประสบปัญหาพื้นฐานหลักที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง ปัญหาความสงบเรียบร้อย และการจัดระเบียบสังคม หากแก้ปัญหาพื้นฐานหลักนี้ไม่สำเร็จละก้อ ปัญหาอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงกัน เพราะหากบ้านเมืองแตกร้าวไม่ปลอดภัย อะไรเลยจะสำคัญไปกว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศเล่า


ไม่อยากคิดเลยว่าหากเหตุการณ์ยังคงไม่สงบต่อไป บ้านเมืองเราจะเป็นเช่นไร จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างที่มีบางคนทำนายไว้หรือไม่ (ซึ่งขณะที่ฟังครานั้นก็อดขำไม่ได้) แต่ดูเหตุการณ์ขณะนี้สิ มีการป่วนบ้านป่วนเมือง มุ่งทำลายสาธารณูปโภค มีความอาฆาตมาดร้าย ที่เชียงใหม่นั้นมีการติดประกาศอย่างโจ่งแจ้งเสียด้วยว่าจะทำลายความสงบสุขของเมืองหากพวกของตนถูกกำราบขึ้นมา ที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง ผ่านมา ๓ ปีเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น นี่อำนาจรัฐของประเทศนี้มันง่อยเปลี้ยถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงขนาดว่าแม้จะรักษาความสงบสุขและอธิปไตยของบ้านเมืองก็ยังต้องทำงานกันขนานหนัก


ในสภาวะการณ์เช่นนี้คงจะหวังพึ่งใครไม่ได้แล้วนอกจากพระผู้เป็นเจ้าและตัวของเราเอง ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างสูงแม้จะเป็นความหวังที่นั่งหวังอยู่ที่บ้านคนเดียว ว่า ผู้มีจิตบริสุทธิ์ที่ต้องการความสงบสุขของบ้านเมืองกลับมาจะลุกขึ้นและร่วมมือกันเสียที การจะหวังอำนาจรัฐที่จะทำอะไรก็คิดเพียงว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเสียผลประโยชน์หรือไม่หากกระทำการใดลงไปนั้น มีหวังบ้านเมืองเราต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียก่อน ข้าพเจ้านั้นแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและอำนาจรัฐก็กีดกันเราทางอ้อมใน หลายๆ ด้านเสมอมา แต่เมื่อเห็นว่าความล่มสลายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ก็ให้หวั่นเกรงไม่น้อย นี่เราจะต้องกลายเป็นคนของประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดในภูมิภาคนี้ในภายภาคหน้าหรือ เราจะต้องมาเป็นสักขีพยานต่อการเข่นฆ่าของประชาชนด้วยกันเองหรือ และอีกหลายๆ ความกังวลที่ระบายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ถูกในขณะนี้ มันเป็นเฉกเช่นความรู้สึกเมื่อได้รับรู้ข่าวสารการก่อความไม่สงบและรัฐใช้อำนาจปราบพี่น้องร่วมผืนแผ่นดินกับข้าพเจ้าครานั้นเกือบ ๑๐๐ ชีวิต ไม่มีผิด มันเป็นความรู้สึกที่อัดแน่นและหดหู่อย่างสุดแสน ความคิดจินตนาการไปไหนต่อไหน


นี่คนเพียงคนเดียวสามารถวางแผนและก่อการให้ประประเทศทั้งประเทศที่มีประชากรถึง ๖๕ ล้านคนเกิดความปั่นป่วนและเห็นความล่มจมรำไรได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่รู้ว่าความผิดที่เขาได้กระทำในหนนี้ทั้งในทรรศนะคติของชาวพุทธเองหรืออิสลามเช่นข้าพเจ้าคงจินตนาการไม่ออกว่าเขาจะมีบาปติดตัวไปมากเพียงไร ลำพังความผิดปัจเจกชนที่เราล่วงกระทำผิดอยู่ทุกวี่วันก็มากพออยู่แล้ว นี่กล้ากระทำและล่วงล้ำสร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งประเทศเลยหรือ แล้วพระผู้เป็นเจ้าท่านจะว่าอย่างไร


ท้ายนี้หวังว่าประเทศนี้ซึ่งก็คือตัวประชาชนเอง จะสามารถก้าวผ่านอัตวิบัติในหนนี้และสามารถสร้างสรรค์ประเทศขึ้นมาใหม่ได้ในไม่ช้า ดินแห้งและพืชแล้งยามที่ถูกไฟป่าแผดเผานั้น ยามไฟลามเลียมันดูน่ากลัว เศร้าสร้อย และไร้ซึ่งความหวัง เมื่อไฟดับแม้จะเห็นแต่ความแห้งแล้งดำเป็นตอตะโกไปหมด แต่เมื่อวัสสาระฤดูมาเยือน เราจะพบว่าบนหน้าผืนดินผืนเดิมนั้นจะเต็มไปด้วยต้นกล้าแทงยอดอ่อนเขียวขจีให้ชื่นใจจนยิ้มกันแทบไม่ทัน ซึ่งมันจะเติบใหญ่ต้านแรงลม แดดเผา และพายุฝนได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเพราะมันได้ก้าวผ่านความสาหัสมาแล้วนั่นเอง และหวังว่าวัสสานะฤดูจะมาเยือนประเทศเราในอีกไม่ช้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น