วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลของชีวิต2 (There is a season)

พาล์มเม่อร์ยังเล่าต่อว่า

ฤดูหนาว


หากเปรียบฤดูใบไม้ร่วงเป็นการเสื่อมถอยของชีวิต ฤดูหนาวก็คือความตายที่นิ่งสนิท ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ยากลำบาก และมีไม่กี่คนที่จะชื่นชมระเบียบแบบแผนของมัน เป็นฤดูที่เราได้เห็นชัยชนะสูงสุดของพญามัจจุราช มีเพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังเคลื่อนไหว เราไม่เห็นการเติบโตของต้นไม้ ธรรมชาติดูเหมือนจะเป็นศัตรูของเรา กระนั้นความเข้มงวดของฤดูหนาวก็มีของขวัญให้กับเราเช่นเดียวกับที่ฤดูใบไม้ร่วงมอบให้


ของขวัญอย่างหนึ่งคือ ความสวยงาม ซึ่งแตกต่างจากความสวยงามของฤูดใบไม้ร่วง แต่ก็น่าพิสมัยเฉกเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่ามีภาพใดบนโลกนี้ที่จะงดงามไปกว่าภาพท้องฟ้าที่โน้มลงมาบรรจบผืนหิมะ ของขวัญอีกอย่างหนึ่งคือ ฤดูหนาวบอกให้เรารู้ว่าการหยุดพักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต ถึงแม้จากภายนอกจะดูเหมือนว่าไร้ซึ่งชีวิต แต่ธรรมชาติก็ไม้ได้หยุดการเคลื่อนไหวที่ใต้พื้นดินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งเพื่อเตรียมรับฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง ฤดูหนาวคือเวลาที่เราได้รับการชี้นำและน้อมรับการเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับตัวเองด้วยเช่นกัน


แต่สำหรับผมแล้ว ฤดูหนาวยังมีของขวัญให้มากไปกว่านั้น ในเวลาที่ท้องฟ้าสดใส แสงแดดแรงกล้า ต้นไม้ทิ้งใบจนเหลือแต่กิ่งก้าน และหิมะแรกกำลังจะมาถึง มันคือความกระจ่ายชัด ในฤดูหนาว เราสามารถเดินในป่าซึ่งเคยหนาทึบในฤดูร้อน มองเห็นต้นไม้แต่ละต้นได้อย่างชัดเจน และมองเห็นผืนดินที่พวกมันหยั่งรากลง


พ่อของผมเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่ปีทีผ่านมา พ่อเป็นคนดียิ่งกว่าใครๆ ที่ผมรู้จัก ช่วงเวลาสองสามเดือนหลังการเสียชีวิตของพ่อเป็นเหมือนฤดูหนาวอันยาวนานสำหรับผม แต่ในส่วนลึกของความหนาวเย็นและความสูญเสีย ผมเกิดความกระจ่างในบางเรื่องซึ่งไม่เคยตระหนักในเวลาที่พ่อยังมีชีวิต ผมมองเห็นบางอย่างที่ความรักอันล้นเหลือของพ่อได้บดบังไว้ ได้มองเห็นว่าพ่อเป็นที่พึ่งของผมมากมายเพียงใด ในเวลาที่ผมถูกความทุกข์กระหน่ำ ผมอาศัยพ่อเป็นเสมือนเบาะรองรับแรงกระแทกจากความทุุกข์นั้นเมื่อพ่อจากไป ความคิดแรกของผมคือ "เวลานี้ผมต้องรับมือกับมันได้ด้วยตัวเอง" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มองเห็นความจริงที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้น ผู้ที่รับแรงกระแทกจากความทุกข์ของผมไม่ใช่ตัวพ่อ แต่เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ต่างหากที่พ่อสอนให้ผมพึ่งพิง


ในเวลาที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมสับสนระหว่างคำสอนกับครู ครูของผมจากไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่คือความรักอันยิ่งใหญ่ และความกระจ่างชัดต่อความจริงนี้ทำให้คำสอนของครูยังคงอยู่ในตัวผม ฤดูหนาวทำให้ภูมิประเทศโล่งมองเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจะโหดร้ายเพียงใด ฤดูหนาวเป็นโอกาสให้เรามองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมองเห็นพื้นดินที่ชีวิตเราดำรงอยู่ได้อย่างแจ่มชัด


ฤดูหนาวภายในใจเรามีหลายรูปแบบ ทั้งความล้มเหลว การถูกหักหลัง ภาวะซึมเศร้า และการจากไปของผู้ที่เรารัก แต่ในทุกรูปแบบนั้น ประสบการณ์สอนผมว่ามันให้คำแนะนำที่เหมือนๆ กันคือ "ฤดูหนาวจะทำให้คุณเสียสติจนกว่าคุณจะผ่านพ้นด้วยการเผชิญหน้ากับมัน" ความกลังจะยังมีพลังครอบงำเราจนกว่าเราจะก้าวเดินอย่างกล้าหาญสู่ความกลัวในเรื่องต่างๆ ที่เราอยากจะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเราเดินเข้าหามันอย่างตรงไปตรงมา โดยป้องกันการถูกหิมะกัดด้วยมืออันอบอุ่นของกัลยาณมิตร ด้วยการฝึกฝนตนหรือด้วยคำชี้แนะทางจิตวิญญาน เราจะสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ความกลัวเหล่านั้นกำลังสอนเราอยู่ และจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พบว่า เราสามารถวางใจในวัฏจักรของฤดูกาล ชีวิตยังดำรงอยู่และดำเนินต่อไป แม้ในฤดูกาลที่ยากลำบากเพียงใดก็ตาม

ฤดูใบไม้ผลิ....จะตามมา

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประกันสุขภาพ ณ ไทยแลนด์

สวัสดีเช้าจันทร์วันทำงาน


ตั้งแต่จัดคอร์สอบรมเกี่ยวกับ Hospital Management ก็ได้ทราบข้อมูลหลายๆ อย่างจากที่แต่ก่อนไม่อยากจะสนใจมันเรย และตั้งแต่ท่านผู้ทรงเกียรติในสภาขึ้นเงินเดือนให้ตนเองอย่างไร้ยางอายสิ้นดี ข้าพเจ้าก็ชังนายอภิสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว


โดยภาพรวมระบบประกันสุขภาพในไทยแลนด์แดนสมายล์แยกออกเป็นดังนี้
1. บัตรทอง (ประชนที่ไม่มีงานทำเป็นกิจจะลักษณะ, หรือไม่มีรายได้)
2. ประกันสังคม (ประชาชนที่มีงานและเงินเดือน) ซึ่งตูก็อยู่ในประเภทนี้
3. ข้าราชการ
4. ส.ส
5. ส.ว


ข้าพเจ้านั่งบ่นหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับพี่ที่ทำงานว่า ทำไมรัฐไม่จ่ายให้คนที่มีงานทำ (ประกันสังคม) เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมประเทศที่ใช้บัตรทอง ทั้งที่คนที่เข้าข่ายประกันสังคมเสียภาษีเงินได้ ภาษี 7 เปอร์เซ็นที่ซื้อข้าวซื้อของในประเทศอีก แต่กลับต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพอีกเหรอ แล้วคนที่ไม่เสียภาษีเงินได้ แต่รัฐกลับแจกบัตรทองเสียนิ (ก็ใช่ความจริงที่ว่าประกันสังคมสามารถเลือกโรงพยาบาลที่จะไปรับการรักษาได้ แต่บัตรทองไม่มีสิทธินั้น) แต่นั่นก็ใช่ว่าการได้รับบริการจะต่างการมาก ซึ่งวงเงินที่รัฐระบุ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าประกันสังคมมีสิทธิอะไรบ้าง จะไปโรงพยาบาลไหนๆ ก็ไม่ต่างกันมากหรอก


มิหนำซ้ำไม่กี่วันต่อมาเผอิญได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 16/12/2553 เรื่องประกันสังคมที่เหลื่อมล้ำ อ่านแล้วให้อยากจะสาปแช่งกระทรวงการคลังและรัฐบาลวันละร้อยหน เลือกที่จะเข้ามาทำงานแต่ไฉนเลยถึงได้เอารัดเอาเปรียบผู้คนอย่างไม่กลัวบาปกรรม ทั้งข้าราชการผู้ชงเรื่องเอง จึงขอคัดลอกเนื้อความจากหนังสือพิมพ์ให้อ่านกันเล็กน้อย  


"แม้ว่า ครม. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา จะตีกลับร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ (การรักษาพยาบาล) ของ ส.ส และ ส.ว กลับไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวน เม็ดเงินและความเป็นไปได้ แต่เมื่อดูอัตราการให้ประกันสุขภาพ ส.ส และ ส.ว ทั้งในปัจจุบัน และที่จะขอเพิ่มในอนาคตแล้ว ถึงกระทรวงการคลังจะปรับปรุงอย่างไร มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในระบบรักษาพยาบาลระหว่างชาวบ้านกันนักการเมืองอย่างชัดเจน..."


และที่น่าเจ็บใจปรากฏว่าค่าใช้จ่ายที่รัฐจ่ายต่อปีให้คนที่จ่ายประกันสังคมน้อยกว่าระบบประกันสุขภาพทุกประเภท ส.ส 50000, ส.ว 20000, ข้าราชการ 10000-12000, บัตรทอง 2202, ประกันสังคม 1938 เห็นตัวเลขมันน่าเจ็บใจไหมเ่ล่า ตัวเลขสูงกว่าชาวบ้านช่องถึงขนาดนั้น กระทรวงการคลังจะส่งเรื่องขอเพิ่มให้ ส.ส และ ส.ว อีก พระเจ้าช่วยกล้วยน้ำว้า อะไรมันจะขนาดนั้นกัน


ข้าพเจ้าบ่นเสร็จรุ่นพี่ผู้นั้นหันมาตอบข้าพเจ้าว่า "ความไม่มีโรคคือลาภอันประเสิรฐ" ข้าพเจ้าก็เงียบสิ จะเอาอะไรไปบ่นได้อีก จริงของพี่ครับ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลของชีวิต (There is a season)

หลังจากเดินอุตหลุดอยู่บนภูกระดึงสองวันเต็มๆ ซึ่งก็อย่างที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะมาเหยียบภูนี้ หรือหากจะพูดให้กระชับอย่างที่เพื่อนใหม่หลายๆ คนบอกว่านั่นคือความเป็นตัวตนของข้าพเจ้ารูปประโยคคงจะเป็นดังนี้ กูไม่รู้จะไปหาหอกเหวอะไรอีกแล้ว เหตุผลผลักดันก็น่าจะไม่มีอะไรเกินกว่าที่ว่า ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความสนุกสนานใดๆ แผงอยู่ในการไปเหยียบภูกระดึง นอกจากมิตรภาพและเพื่อนใหม่ ข้าพเจ้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก แต่ข้าพเจ้าจะทนไม่ได้กับความจืดชืด ในเมื่อมันก็คือการเดินและอยู่แคมป์ธรรมดาๆ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปเยือนให้เมื่อยขาอีกหน


แต่มิตรภาพที่ได้รับและระยะเวลารวมถึงระยะทางที่ต้องเดินไปด้วยกันกับเพื่อนกลุ่มใหม่ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปก็ถือว่่าไม่เสียเปล่า อย่างน้อยๆ เครือข่ายของข้าพเจ้าก็เพิ่มขึ้นแม้ว่าอนาคตมันอาจจะเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่ไม่คงทนมากนัก


ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสหยุดงานเมื่อวานไปหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนและนอนแผ่ ข้าพเจ้าเคยพูดประโยคนี้กับเพื่อนใหม่คนหนึ่งว่า "มันชั่งเป็นความรู้สึกที่แช่มชื่นหากเราได้หยุดพักในห้วงเวลาที่เรามีอะไรให้ทำ มากกว่าการหยุดพักในห้วงเวลาที่เราไม่ีมีอะไรทำ" ประโยคทุกประโยค (ยกเว้นพระดำรัสขององค์อัลลอฮฺและวัจนะของท่านนบีมูฮัมหมัด) ที่หลุดออกมาจากปากมนุษย์ล้วนแล้วมีแรงผลักดันจากปัจจัยแห่งเหตุและผลเสริมหนุนโยงใยกันทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพถิ่นกำเนิด, ศาสนาความเชื่อ, การเลี้ยงดูของบุพการี, โอกาสทางการศึกษา และอื่นๆ อีกมากนัก ดังนั้นประโยคที่ข้าพเจ้าพูดข้างต้นจะบอกว่ามันถูกต้องหรือผิดถนัดจึงไม่เป็นความจริงทั้งสองอย่าง เพราะข้าพเจ้าพูดมันในบริบทและปริมณฑลแห่งตัวข้าพเจ้าเอง มันย่อมถูกในกรอบความคิดของข้าพเจ้าแต่อาจจะผิดในบริบทของคนอื่น เอาละประโยคข้างต้นข้าพเจ้าหมายความว่า ยามใดที่เรามีอะไรให้ทำไม่ว่าจะเป็นงานปกติ หรือความยุ่งเหยิงลักษณะอื่น หากสามารถปลีกเวลาพักผ่อนแม้เพียงวันเีดียวมันชั่งน่าอภิรมณ์สุดแสน เพราะมันคือความแปลกใหม่ในแวดล้อมความจำเจ ในทางกลับกัน การได้พักผ่อนในห่วงเวลาที่เราว่างอยู่อาจินมันจะไม่ยังความสุขใดมาให้ เพราะมันคือความเดิมๆ ในความจำเจนั่นเอง


ด้วยเหตุนี้การพักผ่อนเมื่อวาน ข้าพเจ้าจึงรู้สึกดีนัก อันเป็นสาเหตุของการอัพบล็อกในหัวข้อที่ขึ้นไว้


ฤดูกาลของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือ "เสียงเพรียกแห่งชีวิต, Let your life speak" ของ ปาร์คเกอร์ เจ. พาล์มเมอร์, นายแพทย์ กิจจา เจียรวัฒนกนก แปล, พาล์มเมอร์ชี้ช่องให้เห็นความนัยตามสายตาที่เขามองเห็นในฤดูกาลต่างๆ ทั้ง 4 ฤดู (ไม่ใช่ละครเทพ 4 ฤดู) ข้าพเจ้าจึงนำมาคัดลอกไว้ในบล็อกนี้ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่กัลยาณมิตรที่ไ้ด้พานพบเข้ามาอ่าน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับความเบิกบานที่ข้าพเจ้าได้รับในวันพักผ่อนในยามที่มีอะไรให้ทำเสียด้วย จึงตั้งใจตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะอัพบล็อกเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าจะคัดลอกเฉพาะส่วนที่ถูกใจข้าพเจ้า (ใครจะทำไม) ....ไป เรา ตามไปละเลียดกัน


การมองชีวิตด้วยภาพความเปลี่ยนผันของฤดูกาลทำให้เราเข้าใจความหมายของคำอุปมาอื่นได้ลึกซึ้งขึ้น เมล็ดของพืชพันธุ์ได้เดินทางผ่านแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เป็นไปตามวัฏจักรที่ไม่รู้จบของฤดูกาล เตือนให้รู้ว่าการเดินทางของชีวิตนั้นไม่เคยสิ้นสุด ชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งในปริศนาของวัฏจักรอันเป็นนิรันดร์ เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อแสวงหา แต่ไม่เคยได้รับคำตอบว่า "เราเป็นใคร" และ "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร" คำถามนี้วนเวียนอยู่ตลอดชีวิตเรา 


ฤดูกาลยังให้มุมมองใหม่แก่เรา ให้เราได้มองเห็นว่าการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงและภารกิจของชีวิตนั้นมิได้อยู่แค่การค้นหาจากเพียงภายใน หรือแม้กระทั่งจากวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ฤดูกาลช่วยให้เรามองเห็นการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงจากมุมมองของสรรพสิ่งอันไพศาล เป็นโลกแห่งสรรพสิ่งซึ่งชีวิตของเรารวมอยู่ในนั้นด้วย 


ฤดูใบไม้ร่วง


ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยงามอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นฤดูของการเสื่อมถอยด้วย เวลากลางวันสั้นลงเรื่อยๆ แสงอาทิตย์เบนออกเป็นมุมเฉียง และความอุดมสมบูรณ์ของฤดูร้อนกำลังเสื่อมถอยลงสู่ความแร้นแค้นของฤดูหนาว ในเมื่อต้องเผชิญกับฤดูหนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ธรรมชาติได้ให้อะไรกับฤดูใบไม้ร่วงบ้าง สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ฤดูใบไม้ร่วงคือการหว่านเมล็ดพันธุ์เตรียมพร้อมสำหรับการงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ และปริมาณของเมล็ดพันธุ์ที่แพร่กระจายนี้ก็มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ 


ที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยรู้ตัวว่าผมได้รับเมล็ดพันธุ์อะไรบ้างจากฤดูใบไม้ร่วงของชีวิต ในทางตรงกันข้าม จิตใจผมมัวแต่จดจ่อ กับความเขียวขจีของฤดูร้อนที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและโรยรา ความงามในฤดูใบไม้ร่วงของผมมักจะเจือด้วยความเศร้า ความงดงามของธรรมชาติรอบตัวเป็นเครื่องเตือนให้รู้สึกถึงความสูญเสียที่กำลังจะมาถึง ผมหดหู่กับการสิ้นสุดของฤดูร้อนมากกว่าจะรู้สึกปิติกับความหวังของการเริ่มต้นกำเนิดชีวิตใหม่


แต่เมื่อผมใคร่ครวญสาส์นที่ได้รับจากฤดูใบไม้ร่วง ถึงปรากฏการณ์ที่ต่างกันสุดขั้วระหว่างความตายและการหว่านเมล็ดพันธุ์ ผมจึงรู้สึกถึงพลังของคำอุปมา ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาของชีวิตผม ผมมักยึดติดกับการรับรู้แค่ระดับผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นการหมดความสนใจในบางเรื่อง ความเสื่อมถอยของมิตรภาพ และการตกงาน หากว่าผมจะมองให้ลึกซึ้ง ผมคงเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ มากมายที่ถูกหว่านเพาะเพื่อรอคอยการเติบโตในฤดูกาลใหม่ 


เมื่อย้อนมองกลับไป ผมมองเห็นหลายสิ่งที่เคยมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผมมาพบกับงานที่เป็นภารกิจชีวิตของตน หรือการที่ "หนทางปิดตาย" ส่งสัญญานให้ผมหันหน้าไปสู่ดินแดนใหม่ที่สร้างความชัดเจนให้กับความหมายของชีวิต หากมองอย่างผิวเผิน ฤดูใบไม้ร่วงดูเหมือนกับว่าชีวิตกำลังเสื่อมถอยลง แต่ทว่า เมล็ดพันธุ์จำนวนมากของชีวิตใหม่กำลังถูกหว่านเพาะอย่างเงียบๆ 


ความงดงามของฤดูใบไม้ร่วงทำให้มองเห็นความมีชีวิตซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความโรยราได้ชัดขึ้น ศิลปินจะวาดภาพของฤดูกาลแห่งความร่วงโรยนี้ด้วยสีสันอันสดใสได้อย่างไรหากธรรมชาติไม่ได้เป็นผู้แต่งแต้มให้ก่อน ในความเสื่อมสลายนั้นมีความงาม เป็นความงามซึ่งเราผู้หวาดกลัวและปฏิเสธความตายไม่สามารถมองเห็น บทเรียนของฤดูใบไม้ร่วงแสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งความตายและความงดงามนั้นอยู่ใกล้ชิดกันมากเพียงใด และได้สอนอะไรไรให้กับเรา


สำหรับผมแล้ว คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับคำถามนี้คือถ้อยคำของโธมัส เมอร์ตันที่ว่า "ในทุกสิ่งที่มองเห็นนั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวกันซ่อนอยู่" ในโลกแห่งธรรมชาติที่เรามองเห็น มีความจริงแท้อันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ความเสื่อมถอยและความสวยงาม ความมืดและแสงสว่าง ความตายและชีวิต ไมได้เป็นสิ่งตรงข้ามกัน ทั้งหมดต่างอยู่รวมกันในสัจจะอันขัดแย้งของ "ความเป็นหนึ่งเดียว" นี้


ในสัจจะอันขัดแย้ง คู่ตรงข้ามไม่ได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ของกันและกัน พวกมันต่างเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงอย่างยิ่ง ลึกไปกว่านั้น ทั้งสองอยู่ได้ด้วยการดำรงอยู่ของกันและกัน เช่นเดียวกับที่ร่างกายของผมต้องมีทั้งการหายใจเข้าและหายใจออก ในสังคมที่ชอบเลือกเอาแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ยากที่เราจะยอมรับด้านตรงข้ามทั้งสองในเวลาเดียวกัน เราปราถนาแสงสว่างที่ปราศจากความมืด ปราถนาความอุดมสมบูรณ์ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนโดยไม่ต้องประสบกับความยากลำบากของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นการต่อรองซึ่งเราไม่อาจทำได้กับชีวิต


เมื่อหวาดกลัวต่อความมือ เราจึงต้องการแสงสว่างตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งส่งผลเพียงประการเดียวคือ แสงสว่างเทียมซึ่งทั้งขาดความแจ่มกระจ่างและไร้ซึ่งความงามสง่า และเมื่อไกลออกไปจากพื้นที่ที่แสงส่องถึง ความมืดก็ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้กับเรา เมื่อปราศจากด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าความมืดหรือแสงสว่างเพียงอย่างเดียวล้วนไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิต แต่ถ้าเรายอมรับสัจจะอันขัดแย้งของความมืดและแสงสว่าง การดำรงอยู่ร่วมกันของทั้งคู่จะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันและสุขภาวะของทุกชีวิต


ฤดูใบไม้ร่วงเตือนผมอยู่เสมอว่า ความเสื่อมถอยของแต่ละวันในตัวผมเป็นส่วนสำคัญที่จะนำความสดใหม่มาสู่ชีวิตหากผมพยายมาม "สร้าง" ชีวิตที่ปราศจากความเสื่อมถอยของฤดูใบไม้ร่วง อย่างดีที่สุดมันคงเป็นชีวิตที่มีแต่ความฉาบฉวย ปราศจากความจริงแท้และไร้ซึ่งสีสัน แต่เมื่อผมยอมรับในวัฏจักรซึ่งสอดประสานกัน ยอมรับความงอกงามและการร่วงโรย ชีวิตของผมจะเปี่ยมด้วยสีสัน มีคุณค่า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก.


มีต่อ

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องเรียนออกแบบ?

เอไอทีเอกซ์เทนชั่น

เข้าไปอ่านฟอรั่มในฟอนต์.คอม กระจู๋ทำไมต้องเรียนออกแบบ? นั่งอ่านไล่ตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าที่สิบห้า คำตอบที่ได้รับสิงสถิตอยู่ในใจกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรงคือ มันอยู่นี่ๆ เองสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเรียนมาตลอดแต่หาตัวตนไม่เจอ หากแต่ต้องลื่นไหลตามกระแสปัจจัยบีบอัดเอื้ออำนวยอันรายล้อมในขณะนั้น จนมาจรดเท้าในปัจจุบัน 

อยากถามตนเองและพระผู้เป็นเจ้าว่าตัวเลือกทางการศึกษาที่ได้เคยเลือกมานั้นข้าพระองค์มีสิทธิ์เลือกหรือข้าพระองค์ไม่มีทางเลือกกันแน่ แน่นอนว่าความสามารถในการรับรู้และประจักในตัวตนและแวดล้อมอันเอื้ออำนวยต่อการเลือกในขณะนั้น ข้าพเจ้าและเด็กคนอื่นๆ กว่าสามในสี่ของประเทศต่างก็ด้อยโอกาสที่จะเลือกและแวดล้อมไม่อำนวยต่อการค้นพบตนเองแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าเพียงตระหนักรู้ว่าทุกองค์ประกอบทางการศึกษา ทุกแนวทางที่เคยผ่านล่วงมา ข้าพเจ้าไม่เคยได้เลือก แต่ปัจจัยเป็นตัวกำหนดว่าข้าพเจ้าควรเลือกสิ่งใด ปัจจัยอันดับแรกที่กำหนดการเลือกของข้าพเจ้าคือมันจะช่วยลดภาระแม่ของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ถ้าได้นั่นคือทางเลือกของข้าพเจ้า ปัจจัยที่สอง ข้าพเจ้าหาตัวตนไม่เจอ เป็นเช่นไรและควรจะเรียนอะไร ได้แต่เลือกตามแต่โอกาสอำนวยซึ่งก็ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่านั่นคือความประสงค์ของพระองค์ท่าน และพระองค์ก็คงจะทรงทราบดีว่าในใจข้าพเจ้านั้นมันบอกอยู่ตลอดว่านี่ไม่ใช่ แต่โอกาสสำหรับเด็กอย่างข้าพเจ้ามีให้เลือกมากนักหรือ?

เมื่ออ่านมาถึงหน้าสุดท้ายของกระจู๋ข้างต้น เจ้าของกระจู๋โพสต์ไว้ดังนี้ พอมีคนถามว่า "เรียนนี่แล้วมันดียังไง ก็ได้แต่ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าการเรียนการสอนมันดีไหม แต่ถ้าถามว่ามันสนุกไหม ตอบได้ว่าสนุกจนอยากเรียนศิลปากรซัก 2-3 รอบเลย"      โอ้พระผู้เป็นเจ้านี่ไม่ใช่หรือการเรียนการสอนที่ข้าพระองค์ใฝ่ฝันถึงตลอดชั่วชีวิต การเรียนที่ว่า อาจจะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยจนทำให้ผู้เรียนอยากจะกลับไปเรียนใหม่อีกหลายๆ รอบ แต่ที่แน่ๆ มันต้องมีอะไรดีบ้างถึงทำให้อยากจะกลับไปเรียนอีกสองสามรอบ นั่นแหละคือการเรียนที่เด็กทุกคนต้องการ

เรียนในสิ่งที่คือตัวตน แม้จะไม่ได้ทำงานตามสายแต่ได้พัฒนาตัวตนและแสวงหาความหมายแค่นี้ที่มนุษย์เช่นข้าพเจ้าต้องการ

ชั้นจะไขว่คว้าหาเธอมาให้ได้นิเทศศิลป์ 

เดินทางตามกระจู๋
http://www.f0nt.com/forum/index.php/topic,11431.0.html

salindongbayu

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อุสตาซ โอ๊ะ บาโด ตายแล้ว

ชีวิตของข้าพเจ้าโลดแล่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึก พยายามหล่อเลี้ยงและ เฝ้าสังเกตความรู้สึกต่อเหตุการณ์และบุคคลที่พบเจอ เมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ความรู้สึกจะจมอยู่กับประสปการณ์ในเหตุเกิดนั้นๆ นั่งคิดว่าข้าพเจ้าผ่านเหตุการณ์บีบเค้นเช่นนั้นมาได้อย่างไร สถานการณ์ที่มีแรงกดดันสูงขนาดนั้นข้าพเจ้าปะทะกับมันเข้าไปได้อย่างไร พยายามเหลียวมองทุกมุมมองของเหตุการณ์ และต้องสะดุดด้วยข้อเท็จจริงว่า ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ได้หายไปนั่นคือ บุคคลผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของเหตุการณ์ อุสตาซโอ๊ะ บาโด ตายแล้ว จึงบังเกิดความรู้สึกอนิจจัง ทุกขัง ชีวิตไม่เที่ยง ข้าพเจ้าเห็นท่านใช้ชีวิตต่อสู้ทางการเมืองมามากต่อมาก ยืนตระหง่านบนโขดหินต้านลมแรง ณ ยอดผาสูงดินแดนซึ่งคนสามจังหวัดไม่กี่คนไปถึง แม้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยในบางทัศนะที่ท่านมี และดูจะขัดแย้งกันลึกๆ ในใจข้าพเจ้า แต่นั่นหาใช่ปัญหา หากแต่แก่นสารของชีวิตที่ควรพิจารณาคือ การต่อสู้บนเส้นทางชีวิตของเรา การโลดแล่นนาวาชีวิตบนคลื่นความรู้สึกของตนเองอยู่ตลอดเวลานั้น ในเมื่อจุดจบของเราคือความตาย และบางครั้งก็จากไปโดยไม่มีการเตรียมพร้อมอันใดเลย แล้วการต่อสู้ทั้งหมด ความเจ็บปวด การพินิจพิเคราะห์ความรู้สึกของคนเช่นข้าพเจ้า มันจะมีประโยชน์อะไรบ้างหรือ เพราะยามความตายได้เดินมาเคาะประตูและชักชวนเราออกไปสู่ดินแดนพันธะสัญญา เราก็เป็นได้แค่ใบไม้หนึ่งใบในบรรดาใบไม้อีกไม่รู้จะพรรณนาจำนวนที่ปลิดขั่วแค่นั้นเอง โลกไม่ต้องการรับรู้ เทคโนโลยีไม่ได้ล่มสลายเพราะการตายของเรา แล้วอย่างนี้การต่อสู้อันวางอยู่บนพื้นฐานชุดความคิดปัจเจกชน การเฝ้าประคบประหงมความรู้สึกที่เคยมีมา ก็ไร้ค่าสิ้นดี


อุสตาซโอ๊ะ บาโด ตายไปโดยอาจจะไม่คิดว่าตนเองต้องตายในคืนนั้น แผนงานชีวิตหลายประการกำลังดำเนินไป ความคิดหลายความคิดกำลังโลดแล่น แต่มันก็ถูกคั่นกลางอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยโรคหัวใจ ย้อนมองดูตัวเองที่มักจะโลดแล่นแหวกว่ายอยู่ในความรู้สึก ดำเนินกิจกรรมนั้นอย่างเหม่อลอยเรื่อยๆ ทุกข์ระทมในบางโอกาส และถูกคั่นกลางอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างอุสตาซโอ๊ะ บาโด แล้วอะไรคือแก่นสารของกิจกรรมเหล่านั้นที่มีต่อความตาย


ประเด็นที่ข้าพเจ้ามัวเมาอยู่แต่กับความรู้สึก เฉกเช่นที่เราหลายๆ คนก็มัวเมาอยู่แต่กิจกรรมของตนเอง แต่ข้อเท็จจริงตกสำรวจคือ เราก็แค่ใช้เวลาเดินเข้าหาความตายใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ซึ่งทั้งสิ้นทั้งปวงเราแค่ไม่แน่ใจว่าเราจะไปเจออะไรหลังความตายที่ไม่เคยเตือนสติตนเอง




salindongbayu    

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตดันทุรัง

งานที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นสัญญาจ้างระยะสั้น 6 เดือน หากจะบอกว่ามันเป็นงานๆ หนึ่งที่ดีมากเท่าที่คนไม่ฟุ้งเฟ้อคนหนึ่งจะหาได้ย่อมไม่ผิดนัก เงินดี, เพื่อนร่วมงานดี, สถานที่ทำงานเงียบสงบ, ลักษณะงานก็ดี แต่ไฉนเลยคนไม่ฟุ้งเฟ้ออย่างข้าพเจ้ากลับไม่พอใจงานนี้


แรกเริ่มนั้นก็คิดเอาเองว่าหากผ่านพ้นไปหกเดือนเค้าคงจะต่อสัญญา ข้าพเจ้าคงจะได้ทำงานเป็นพนักงานปกติ แต่มันก็ปรากฏในหนหลังว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น การเป็นพนักงานปกติข้าพเจ้าต้องผ่านระบบกรองของฝ่ายบุคคลของที่นี่ ซึ่งดูท่าข้าพเจ้าจะหมดโอกาสด้วยคนสมัครเยอะมาก จึงกลุ้มใจเป็นอันมาก เพราะเมื่อมานั่งคิดถึงคุณสมบัติต่างๆ ของงานที่ได้ระบุไว้ข้างต้นก็บังเกิดความเสียดาย หากข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานที่นี่ ข้าพเจ้าคงต้องเสียแวดล้อมความเป็นอยู่ที่หามานาน ข้าพเจ้าต้องขาดรายได้  แล้วจะทำอย่างไรต่อไป อันเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องมานั่งค้นหางานใหม่ ซึ่งก็ควรเป็นงานที่ไม่ยึดติดหรือขึ้นอยู่กับใคร บอกกับตนเองซ้ำๆ ว่าเราต้องได้งานที่เป็นที่พึ่งแห่งตน ตัดปัจจัยงานนี้ออกไปซะ อย่านำมาใส่ในความคิดอีกเลย ในเมื่อพระองค์ทรงมอบให้และหากพระองค์จะทรงเรียกคืนนั่นก็ไม่แปลกอะไร และข้าพเจ้าออกจะแน่ใจว่าพระองค์จะต้องให้สิ่งอื่นที่ดีกว่าที่เหมาะสมกับข้าพเจ้ามากกว่าเป็นแน่ เพราะครรลองมันมักจะเป็นไปในลักษณะนั้น ขณะนี้เป็นเดือนตุลาคม 2010 เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะหมดสัญญา ข้าพเจ้าเริ่มจะตัดปัจจัยหวงงานที่ทำอยู่ได้แล้ว และกำลังเริ่มงานอีกงานที่คิดว่าไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ขึ้นกับใคร และเป็นอิสระ


เมื่อตั้งใจอย่างนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาตั้งหัวขบวนใหม่ นั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือดี เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดของชีวิตข้าพเจ้าคือ ข้าพเจ้าไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยจริงๆ รู้แต่เพียงว่าจะไม่ทำหากความรู้สึกและใจบอกว่ามันไม่ใช่ เพราะนั่นคือการฝืนที่ทรมานที่สุด มันคือปัญหาเฉพาะหน้าที่ข้าพเจ้าต้องหาทางออกให้ได้เพราะไม่เช่นนั้นจะเคลื่อนไปไหนไม่ได้เลย

ตลอดระยะเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าตั้งคำถามเรื่องงานกับตนเองมากมาย เพราะโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการสมัครงาน ด้วยข้าพเจ้าคิดว่าเราไม่ใช่สินค้าที่จะต้องนำเสนอตนเองให้คนใครเลือก และข้าพเจ้าก็จะเสียความรู้สึกอย่างมหาศาลหากเขาปฏิเสธรับข้าพเจ้าเข้าทำงาน ถามไปถามมาข้าพเจ้าก็ฉงนเองเป็นหนักหนา คุณสมบัติงานที่ดีเกือบจะทุกอย่างสำหรับข้าพเจ้าแต่ทำไมข้าพเจ้าไม่รู้สึกพอใจกับงานนี้ซักที นั่นมิใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับข้าพเจ้าจึงทำให้ข้าพเจ้าไม่พอใจ หากแต่มันปรากฏเด่นชัดเสียเหลือเกินว่า งานนี้มันไม่ใช่ งานนี้มันยังไม่เหมาะกับตัวตนของข้าพเจ้า แม้จะเสียดายจำนวนเงินเดือนเป็นอันมาก หากแต่เมื่อมองดูความรู้สึกที่ต้องทนทำงานที่รู้สึกว่ายังไม่ใช่ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะบอกตนเองว่า อย่าดันทุรังไม่เลย ในขณะเดียวกันความคิดอีกกระบวนการหนึ่งก็พยายาหาเหตุผลให้ตัวเองนั่นคือ มันคงจะเป็นความประสงค์ของพระองค์ที่จะไม่เปิดทางให้ทางสถาบันต่อสัญญากับข้าพเจ้า เพราะพระองค์คงทราบดีว่าการเข้างานเช้าแล้วออกเย็นมันไม่เหมาะกับคนอย่างข้าพเจ้า จึงให้ลองงานเป็นเวลาหกเดือนเพื่อให้ตระหนักได้เองว่าข้าพเจ้าไม่ชอบอย่างนั้นจริงๆ


ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตนในแวดล้อมของการทำงาน มีปัจจัยหลักปัจจัยนึงที่ข้าพเจ้าไม่มี และมันก็เป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายในการดำเนินงานใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วย นั่นคือปัจจัยความมุ่งมั่นเรื่อยๆ ก็แค่ทำมันไปเรื่อยๆ โดยไม่ท้อขว้างมันทิ้ง ซักพักมันจะสำเร็จเป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ชื่นใจเอง ดังนั้นจึงตั้งปณิธานไว้ลึกๆ และเงียบๆ ว่าต่อไปจะนำคุณสมบัติความมุ่งมั่นเรื่อยๆ มาใช้ในทุกการงานที่ตั้งใจให้สำเร็จ มันจะได้สำเร็จจริงๆ ซักที

ขอเวลาหน่อย

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

ประเทศของข้าพเจ้า

ขณะนี้เป็นเวลา ๒๒.๒๐ น. ของวันที่ ๔.๒๒.๒๐๑๐ ข้าพเจ้ากำลังอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร


ขณะนี้ข้าพเจ้าเกิดอาการติดตามข่าวสารอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยข่าวคราวที่ออกมานั้นสร้างความกังวลใจแก่ประชาชนของประเทศนี้เป็นอย่างหนัก และข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าคงมิได้มีเพียงข้าพเจ้าเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกกังวล เป็นห่วง หวาดกลัว กับความไม่แน่ไม่นอนของบ้านเมืองยามนี้คงได้แพร่กระจายเข้าสู่หัวใจและความนึกคิดของประชาชนหมู่มากโดยเฉพาะผู้ที่รักและต้องการให้บ้านเมืองกลับมาสงบอย่างบริสุทธิ์ใจทุกผู้ทุกนาม 

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้ใหญ่ตัวโต

01/8/2010
ST3-9
 AIT

การโตเป็นผู้ใหญ่ในความคิดของข้าพเจ้าในดูเหมือนมันจะไม่มีผลดีอันใดนอกจากสามารถหาเงินใช้ได้เองและมีความพร้อมที่จะเจริญพันธ์ นอกเหนือจากนี้้ล้วนแล้วนำมาซึ่งความลำบากและความรำคาญแก่ทั้งหัวใจและตัวตนทั้งสิ้น มิได้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและไม่อยากเป็นคนลักษณะเช่นนั้น มิหนำซ้ำก็ไม่อยากจะกลับไปเป็นเด็กอีก แต่สภาพการณ์ที่พบเจอในปัจจุบันมันบีบและหลอมเอาความคิดของข้าพเจ้าไปในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเหงาที่ทบทวีคูณ ความเครียดที่ไม่เคยจินตนาการออกยามเป็นเด็กว่ามันเป็นเช่นไร การวางตนให้อยู่ในศีลในธรรมทั้งกรอบสังคมและศาสนา ความกังวลต่ออนาคตและความน้อยใจต่ออดีตที่ล่วงมา ซึ่งทั้งหมดไม่เคยกระทบกระทั่งต่อความคิดของเด็ก แต่กลับมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของคนที่โตแล้ว ใหญ่หลวงในที่นี้คือ ชีวิตเกือบทั้งวันของแต่ละวันหมดสิ้นไปกับความกังวลในหลายๆ เรื่อง จิตใจไม่แช่มชื่น มัวแต่กังวล และมักจะฝันถึงชีวิตที่เบิกบานและเต็มอิ่ม

จึงกลายเป็นคำถาม ถามตนเองอยู่เสมอว่าแล้วอะไรที่ทำให้กังวล แล้วจะมีวิธีการกำจัดความกังวลเหล่านั้นได้หรือไม่ และหากเมื่อกำจัดแล้วมันจะมีความสุขได้จริงหรือ เราสามารถจะกำจัดความกังวลโดยการลิสต์ออกมาแล้วกำจัดออกไปทีละอย่างหรือไม่ เฉกเช่นที่ข้าพเจ้ามักจะลิสต์การงานต่างๆ ออกมา แล้วก็ขีดฆ่าการงานที่ทำเรียบร้อยแล้ว และเมื่อพบว่าลิสต์ทุกอย่างถูกขีดฆ่าก็บังเกิดความสบายใจขึ้นมาบ้างว่า เราทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนะ งั้นก็คลายกังวลกับการงานได้แล้ว แล้วกับความกังวลอย่างอื่นๆ ข้าพเจ้าสามารถใช้วิธีการนี้เพื่อคลายความกังวลของตนเองได้หรือไม่?

เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะต้องมาหมดเวลาไปกับความกังวลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน, ปากท้อง, ความรัก, ความเหงา, แล้วก็ความรู้สึกต่างๆ การมีชีวิตอยู่และการดำรงอยู่ของคนเราควรจะต้องมีความสุขอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วจะมานั่งหายใจเพื่อให้ตนเองเป็นทุกข์ให้เปลืองข้าว เปลืองน้ำ และเปลืองทรัพยากรของโลกไปทำไม ชีวิตคนเราควรที่จะต้องไร้กังวลและมีความสุขทุกๆ วัน ควรจะเบิกบานได้ทุกขณะ แล้วนี่อะไรกันวันๆ ก็ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า และอีกหกเดือนถัดไปทั้งๆ ที่วันนี้ก็ยังไม่ผ่านพ้น มันไม่มากไปหน่อยหรือสำหรับชีวิตๆ หนึ่ง

แต่มนุษย์นั้นย่อมรู้ดีว่าบางอย่างเราไม่ได้เชื้อเชิญแต่มันเดินเข้ามาเอง จริงอยู่ที่เราต้องการมีชีวิตที่มีความสุขทุกวัน แต่บางครั้งชีวิตก็เหมือนตกอยู่สภาพถูกมัดมือชก น้ำท่วมปาก อยากจะปฏิเสธ หากดูแต่ปัจจัยรายล้อมก็จำใจคอตกพูดอะไรไม่ได้และไม่ออก แน่นอนว่านี่ย่อมเป็น statement ที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ เรานั่นเองที่เป็นคนเลือกสรรพสิ่งของต่างๆ ใส่เข้าไปในชีวิต แต่ในอีกด้านก็ต้องตระหนักด้วยเช่นกันว่าการเลือกบางสิ่งในบางครั้งมันรายล้อมไปด้วยเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งมันมากกว่าการเลือกไม่เอาอันนี้แตะจะเอาอันนั้น 

ชีวิตปราศจากความกังวลนั้นดูเหมือนง่าย แต่โดยเนื้อแท้ต้องผ่านกระบวนการหลายขั่นตอนกว่าจะได้ชีวิตหนึ่งที่ปราศจากกังวลจริงๆ 

ไกลกังวล
ชอบคำนี้จัง


วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถึงคนกลุ่มโรค

อัซซาลามูอาลัยกุม วาเราะหฺมาตุลลอฮฺ วาบารอกาตุฮฺ
ก็อัลฮัมดูลิลละฮฺ เรื่อยๆ สบายดี ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย


ชีวิตก็เช่นนี้เอง มันเหมือนคลื่นลมในทะเลกว้าง ที่บางครั้งมันก็นิ่งสงบจนน่าฉงน บางครั้งก็มีคลื่นแรงจนเจ้าตัวเองจะยืนอยู่ด้วยสองขาก็ยังยืนไม่อยู่ บางครั้งมันก็มีคลื่นน้อยๆ ลู่ถลาปะทะแดดใสในวันอากาศปลอดโปร่ง แต่บางวันคลื่นในทะเลเดียวกันกลับบ้าคลั่งกระหน่ำได้ทุกทิศทาง หรือที่เขาเรียกมันว่าทะเลบ้านั่นเอง


... คิดๆ ไปเราก็สงสาร...นะ เพราะเราเคยและยังคงสงสารตัวเองนั่นเอง เรานั่นเองที่รู้ดีว่าตนเองเป็นเช่นไรและต้องผจญอะไรบ้าง และ...ก็มีอาการเช่นเรา เราจึงต้องสงสาร..ด้วย เพราะรู้ดีว่ามันเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยก็หวังว่า...คงจะไม่มีอาการรุนแรงเหมือนเรา




ไม่รู้สิ ไม่อยากจะเขียนให้มันลึกมากว่าเรามีอาการอย่างไร เพราะเอาเข้าจริงๆ เราก็คงไม่อยากจะรู้อาการของ..มากขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆ เราคงมีอาการของโรคอยู่ในกลุ่มเดียวกัน นั่นคือโรคความเหงา
ความเหงาสำหรับคนโตแล้ว มันเยือกเย็นได้สั่นจิตจนปากสั่นระริก มันเหน็บหนาว เดียวดาย และเหมือนเดินอยู่ในทุ่งกว้างที่มีแต่เสียงโหวกเวก (เพราะทุ่งที่เราหมายถึงก็คือสังคมเราดีๆ นั่นเอง) มีผู้คนมากมายที่เดินผ่านเข้ามาในแนววิถีชีวิตเรา หรือเดินเคียงบ่าไปเรื่อยๆ แต่แปลกจริงเรากลับไม่เคยรู้สึกอุ่นใจอย่างแท้จริงที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น จิตใจบอกอยู่ตลอดเวลาว่านั่นมันก็แค่บุคคลที่มีที่ไปของตนเอง บางครั้งเราก็คิดว่าจากเปอร์เซ็นจำนวนประชากรโลกที่มีมากจนเขาคาดการณ์ว่าอาหารจะไม่พอต่อจำนวนประชากรโลก แต่กับการค้นหาบุคคลหนึ่งกลับทำได้ยากเย็น เราแค่ต้องการคนหนึ่งคนแต่กลับเหมือนงมอะไรซักอย่างในโลกกว้าง มันน่าจะง่ายแต่เปล่าเลยมันยากที่สุดจริงๆ


ที่สงสารนั้นไม่ใช่สมเพช แต่สงสารเพราะเข้าใจและเห็นใจในความยากลำบากที่ต้องเผชิญเหมือนๆ กัน บางครั้งความยากลำบากดังกล่าวเราต้องบำบัดมันด้วยการเดินในยามวิกาลเป็นระยะทาง 3-4 กิโลเมตรเพื่อระงับอาการให้หัวใจและร่างกายได้พักผ่อนได้บ้าง มิเช่นั้นแล้วการอยู่เฉยๆ จะยิ่งทำให้หัวใจต้วเองถูกทิ่มแทงจากเข็มหลายๆ อัน


ทำไมถึงสงสาร ก็เพราะจดหมายฉบับนี้มันบ่งอาการ การไม่มีอะไรทำ และรอความหวังจากคนอื่นนั้นมันน่าสงสาร ซึ่งเราก็เคยประสบและยังคงประสบอยู่เรื่อยนั่นเอง มันเป็นการรอด้วยความหวังที่แทบจะไม่มีความหวัง งงไหมเล่า? เรารอด้วยความหวังทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังนั้นเป็นความหวังในม่านหมอกที่รางเลือน
 
ด้วยเหตุนี้หลักธรรมศาสนาจึงต้องเข้ามาสอดรับและแก้ไขเหตุและปัจจัยที่ว่า เราพยายามนั่งสมาธิ เราพยายามฝึกการสงบสติอารมณ์ เราพยายามมีชีวิตอยู่ด้วยความสุข เราพยายามมีชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง เราพยายามตัดปัจจัยต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อหัวใจ เราพยายามมีความสุขโดยที่ไม่ต้องมองหาจากแหล่งอื่นนอกจากๆ ข้างใน แต่ก็นั่นแหละมันย่อมมีช่องโหว่ที่หลุดรอดไปได้บ้าง แต่อย่างน้อยเราก็เริ่มทำอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องนำพาตัวเองไปพึ่งพากำลังจากภายนอก




การพยายามยืนอยู่ด้วยตนเอง ลงมือทำทุกอย่างโดยไม่รอเสียงสนับสนุนจากใคร เดินทางไกลโดยไม่เคยหาเพื่อนร่วมทาง แน่นอนว่าเหตุเหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยที่เสริมหนุนให้เรามีอาการหนัก แล้วจะให้ทำอย่างไรในเมื่อการก่อกำเนิดและแวดล้อมที่เคยล่วงผ่านมานั้นมันหลอมเราให้เป็นเช่นนี้ และแน่นอนเราไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนมันด้วย


ที่ลากยาวมาทั้งหมดเพียงอยากจะบอก...ว่า จงพยายามยืนหยัดและตระหง่านด้วยความสุขใจโดยไม่ต้องรอกำลังผลักดันจากใคร เลิกสงสารตัวเอง (หาก...มีความรู้สึกนี้) แม้บางทีมันทำยากมาก ซึ่งเราเองก็พยายามอยู่เหมือนกัน เพราะจะไม่มีใครเห็นค่าเราหากเราไม่เลิกสงสารตัวเอง การสงสารตัวเองในที่นี้หมายถึงอาการเศร้าที่เผลอออกอาการโดยไม่รู้ตัว โดยจิตสำนึกส่วนลึกคิดว่าคงจะมีใครซักคนมาสงสารเรา และช่วยเราให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เรากำลังดิ้นรนอยู่ แต่เปล่าหรอกในโลกไม่มีใครจะช่วยหรือมาสงสารเราหากเรายังมัวสงสารตัวเอง เพราะคนทั่วไปจะหนักหรือเบาย่อมมีปัญหาที่มีส่วนคล้ายกับปัญหาของเราไม่มากก็น้อย ดังนั้นคนทั่วไปย่อมที่ต้องการคนมาช่วยด้วยเช่นกัน ไม่มีใครมองหาใครที่จะช่วยแก้ปัญหาให้แต่ต่างก็มองหาใครที่จะมาช่วยแก้ปัญหาของตัวเองต่างหาก


ที่เขียนมาทั้งหมดเราก็เขียนไปอย่างนั้น หากจะถามว่าเราทำได้หรือยัง คำตอบคือ เราก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นการตกผลึกทางความคิดระดับนึงที่คิดว่ากลุ่มคนที่มีอาการโรคคล้ายกันน่าจะแชร์กันได้


โชคดี


วัซซาลาม

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จะโพสต์ลงบันทึก

เอาหัวข้อมาลงไว้ก่อนจะได้ไม่ลืม


หัวข้อที่จะทยอยมา เขียน (ถ้าอารมณ์มานะ)


๑. ชีวิตมหาลัย
     ""อิจฉาเด็กในรั้วมหาลัยไทย"


๒. ชีวิตมีทำนองของมันเอง
    "จังหวะชีวิต
    "การงาน
    "การดำเนิน
    "ดูตัวเอง ณ ตอนนี้ เอไอที เคยจินตนาการไหมว่าจากเด็กบ้านนอกจนๆ เราจะได้มีโอกาสมาอยู่และทำอะไรอย่างนี้


๓. ความรัก
    "นั่งคุยกับฝรั่งเรื่องความรัก
    "relationship คือ คลิ๊ก
    "ข้าพเจ้ามีปัญหาหัวใจ (จะลงแดงตายอยู่รอมร่อแล้ว ไอ้เรื่องเล่านั่นแท้ๆ เลย)


๔. เหตุผลที่อยากให้ตัวเองยุ่ง และแนวทางการยุ่งที่แสวงหา
     "ยุ่งกับงานงั้นหรือ
     "หรือไม่อยากยุ่งกับความคิดและหัวใจของตนเองกันแน่


เดี๋ยว วันหลังมาเขียน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บันทึกไทยปี ๒๕๕๓ / 2010

๑๖.๕.๒๐๑๐
พีเอ็มคอนโดทาว์น

วันนี้เหตุการณ์ปะทะกันที่ราชประสงค์และบริเวณโดยรอบยังไม่สงบและดูทีท่าจะรุนแรงอยู่เรื่อยๆ 

เชื่อว่าประชาชนคนไทยหลายหมู่เหล่าคงสับสนเบื่อหน่ายและท้อแท้ ด้วยการมองไม่ออกว่าประเทศตนจะเดินไปข้างหน้าในทิศทางใด หรือจะเดินวนอยู่กับที่ ซึ่งก็หมายถึงความล้าหลังและหายนะนั่นเอง เพราะการไม่เคลื่อนไปไหนในขณะที่สิ่งรอบข้างเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา นั่นมิใช่ว่าเรากำเดินถอยหลังหรอกหรือ การจะโทษฝ่ายใดหรือส่งเสริมอีกฝ่ายในเวลานี้ดูจะไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะประเทศเราได้กลายที่พำนักหลักแหล่งของความไม่แน่นอน ความตึงเครียด และความอลหม่าน ในสายตาชาวโลก หรืออาจจะเป็นสายตาคนไทยประเทศนี้ด้วยซ้ำไป แม้ว่าคนไทยกลุ่มใหญ่จะพำนักอยู่รอบนอกสถานการณ์และยังคงใช้ชีวิตปกติสุขดี โดยพยายามติดตามข่าวสารตามช่องทางต่างๆ มากมายในทุกวันนี้ แต่ใจนั้นคงเหนื่อยอ่อนกับการติดตามเข่าวสารที่มิได้นำพาข่าวดีมาให้รื่นหูแม้แต่น้อย

บางครั้งก็ถามตนเองว่าทำไมข้าพเจ้าต้อง (มักจะ) นำพาความรู้สึกตนเองไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบกายหรือเข้ามาในเส้นทางชีวิตอันมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อชีวิตข้าพเจ้าโดยตรงด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่าของพวกนี้มิได้ยังประโยชน์แก่ความรู้สึกข้าพเจ้าเลย มิหนำซ้ำยังสร้างความรันทดใจให้มากมาย แต่มันก็เหมือนขนมหวานที่พยายามบอกกับตนเองว่าจะไม่ทานอีกแล้ว แต่เห็นก็ต้องรีบตะครุบทุกทีไป เหตุการณ์พวกนี้ก็เช่นกัน บอกกับตนเองว่าไม่อยากรับรู้ไม่อยากรู้เห็นแต่เมื่อมันอยู่แค่ปลายจมูกเพียงบรรจงปลายนิ้วมันก็ออกมาล้นทะลักอยู่หน้าจอ

ตามวิสัยความเป็นไปของสรรพสิ่งในแนวครรลองของพระองค์ท่าน ทุกสิ่งมีขึ้นมีลง เฉกเช่นน้ำมีขึ้นย่อมมีลง วงล้อเมื่อมันหมุนตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุด มันก็ถึงเวลาที่มันจะต้องเคลื่อนคล้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดต่ำสุดมันก็หมุนตัวเองกลับไปที่สูงอีกรอบ อาณาจักและจักรวรรดิ์ก็ไม่แตกต่าง มีอาณาจักที่ล่มสลายไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ให้ถามผู้คนในยุคนั้นว่าเชื่อหรือไม่ว่าอาณาจักของตัวนั้นจะมลายหายจากแผนที่โลก คำตอบที่ได้รับคงเป็นแต่เสียงหัวเราะขบขัน อาณาจักที่ข้าอาศัยอยู่นี้แข็งแกร่ง พื้นที่ขอบเขตขันฑสีมาก็กว้างใหญ่ไพศาล กิจการรุ่งเรื่อง อยู่ดีกินดี แต่ไฉนเลยเราได้ถึงยินเพียงแต่ชื่อของอาณาจักอันดาลูเซีย จักรวรรดิ์ออโตมาน หรือแม้แต่สหภาพโซเวียต 

เมืองไทยในช่วงที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องเดือดร้อนจากการรุกรานของชาติตะวันตก แม้ไทยจะต้องเสียดินแดนไปบ้างแต่ก็สืบทอดและครองความเป็นไทยมาได้ตลอดรอดฝั่ง ความเจริญรุ่งเรืองขยับขยายไม่น้อยหน้าหรืออาจจะมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ในขณะนั้นคนอื่นต้องพลิกฟื้นประเทศขึ้นมาใหม่ พยายามอย่างมากที่จะรวมเอาประเทศที่พินาศย่อยยับกลับมาเป็นปึกแผ่น แต่ไทยในขณะนั้นได้ยืนอยู่บนแผ่นดินประเทศตนที่ยังไม่ต้องลงมือลงแรงกันขนาดนั้น จึงเป็นข้อได้เปรียบที่จะก้าวยาวกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อันจะเห็นความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่ล้ำหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน แน่นอนว่าในยุคนั้นคงจะไม่ใช่จุดสุดยอดของความเป็นสยามหากเทียบกับความรุ่งเรืองและแผ่ขยายของความเป็นอยุธยาและจักรรีในช่วงต้นๆ ที่สามารถยึดครองประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งดินแดนลังกาสุกะ

แต่นั่นก็ผ่านมานานมาก มาวันนี้เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยได้ร่นถอยหลังไปมากหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านประเทศเดิม ล้าหลังทางความคิด การศึกษา และความซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างที่สุดว่าจากจุดตกต่ำที่กำลังดำเนินอยู่ แม้จะทุกข์ใจที่ได้เห็น จะเป็นหมุดอันใหม่ที่จะปักลงเพื่อนับถอยหลังสู่การเคลื่อนตัวของตัวหมุนครรลองของพระองค์ให้ประเทศเราขึ้นสู่ที่สูงอีกครั้ง


ต่อไปนี้เป็นบทคัดลอกจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๑๕๕๓



พี่น้อง-ประชาชนครับ ท่านจะทุกข์ จะหวาดกลัว จะท้อแท้-สิ้นหวัง ในภาวะคล้าย "บ้านแตก-สาแหรกขาด" นี้ก็ตามเถิด แต่ขอให้ "มีสติ" ในการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง  และขอให้มั่นใจว่า พวกเรา-คนไทยทุกคนจะต้องก้าวผ่าน "มิคสัญญี" ร้ายแรงในรอบ ๒๒๘ ปีแห่ง "กรุงรัตนโกสินทร์" นี้ร่วมกันไปได้แน่นอน
 ถึงแม้ ณ กาลนี้ ยอดปราสาทราชวัง และวัดพระแก้วมรกต "ศูนย์รวมใจ" ของไทยเรา จะหม่นเศร้าอยู่ในม่านหมอกแห่งควันดำที่คลุ้มคลุมเมืองไปบ้าง นั่นก็ขอให้เข้าใจเถิดว่า ก่อนฟ้าเปิด "สู่อนาคตใหม่" ที่สดใสของไทยเรา วิบากกรรมที่เราทุกคนร่วมสร้างกันไว้ ณ กาลนี้...เราทั้งหลาย ได้ชดใช้แล้ว!
 เรา จะรับอนาคตใหม่ ก็ต้องจ่ายให้อดีดผ่านปัจจุบันนี้ไปบ้างเป็นธรรมดา อย่าเอาแต่โทษใคร อย่าทุกข์ทนหม่นเศร้ากันไปเลย ตู่เอ๋ย ณัฐวุฒิเอ๋ย และทุกคนในแกนนำ นปช.ไม่มีใครผิด-ใครถูกหรอก เพียงแต่สิ่งที่ทำนั้น ฝืนมติฟ้า-ดิน หยามหมิ่นแผ่นดินบรรพบุรุษสร้าง และสวนทางใจแห่งมหาประชาชนไทย............


 http://www.thaipost.net/news/170510/22290

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การตั้งจิต (เนียต)

15/5/2010
PMcondo town
Navamin, BKK

วันนี้มีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์มี
คนตายไปแล้วหลายศพ และที่บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อคืนเสธแดงโดนยิงหัว

การตั้งจิต (เนียต)

การเขียนเรื่องนามธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนมานั้น หากเมื่อจะเริ่มเขียนหัวข้อใหม่ มักจะมีคำถามวนเวียนอยู่ซ้ำไป อ้าวแล้วที่เขียนๆ ไปคนเขียนเองเอาไปปฏิบัติจริงซักกี่อย่างเชียว บางครั้งก็เลยรู้สึกว่าการเขียนของเรานั้นเป็นเพียงการระบาย ประโยชน์อันใดไม่รู้ว่าจะไปถึงผู้อื่นหรือเปล่า ในเมื่อคนเขียนสักแต่ระบายความคิดแต่งแต้มด้วยการประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำแต่มิได้ลงมือปฏิบัติ
แต่ก็เอาเถอะถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็เลี่ยงการเขียนไม่พ้น ยังงัยมันก็ต้องเขียน อยู่ที่ว่าจะเอามาให้คนอื่นอ่านหรือเปล่าแค่นั้นเอง

การตั้งจิต (เนียต ตามศัพย์อาหรับ) นั้นลองสังเกตและเปรียบเทียบในเหตุการณ์ต่อไปนี้

๑. เราเดินไปที่ก๊อกน้ำ บรรจงเปิดก๊อกน้ำและตั้งจิตว่ากูนี้จะอาบน้ำละหมาดซุฮรีเพื่อเอกองค์ท่าน

๒. เราปูพรมผินหน้าสู่กิบลัต หรืออาจจะเดินไปมัสยิดก็ตามแต่ จรดเท้าทั้งสองข้างยืนตรงผินหน้ามุ่งทิศกิบลัต และตั้งจิตว่า กูนี้ละหมาดซุฮรี ๔ รอกาอัตมะอฺมูม หรือไม่มะอฺมูมก็ตามแต่ เพื่อเอกองค์อัลลอฮฺ

๓. เดินกินลูกชิ้นอร่อยมากก มือซ้ายถือถุงน้ำแฟนต้าน้ำส้ม ๑๒ บาท เหลือบเห็นยัย\ ยายแก่นั่งขอทาน ความเอน็จอนาจจุกขึ้นมาถึงคอ ครั้นจินตนาว่ายัย\ ยายแก่คนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายแม่กูเสียนี่ แล้วทำไมแม่กูถึงต้องมาลำบากลำบนเป็นขอทาน ด้วยความสงสารจับจิตหย่อนเงินให้ ๑๐ บาท

๔. เจอเอกสารแจกฟรีหยิบขึ้นมาอ่านกล่าวถึงเรื่องการให้ทาน อ่านแล้วน่าเบื่อพูดเรื่องเดิมๆ อยู่ได้ วางมันไว้ตรงนั้นแหละ ถึงเวลาละหมาดก็ไปตามปกติ แต่มีอะไรพิกลไม่รู้มาได้ยังงัย จากที่จิตล่องลอยอยู่ สิ่งที่พุ่งเข้าชนความรู้สึกเมื่อกี้ทำให้รู้สึกกลัวตายและกลัวตกนรก น้ำตาปริ่มๆ ใหลออกมาเทียว ละหมาดเสร็จก็หย่อนตู้บริจากมัสยิด ๑๐ บาท เพราะนึกได้จากเอกสารที่เผอิญได้อ่านเมื่อเช้า

มีเหตุการณ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่สิบเหตุการณ์และอีกกี่สิบลักษณะที่เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือบังเอิญผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตเราก็ตามแต่ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อันหลอมรวมเป็นการดำเนินชีวิตของเราในหนึ่งวันนั้น จากมุมมองอิสลามที่ถูกปลูกฝังในความคิดและวิถีดำเนินชีวิต สิ่งแรกที่เคยร่ำเรียนมาคือ إنما الأعمال بالنيات  ทุกกิจการงานใดจะแตกต่างหรือไม่แตกต่างจากกิจกรรมธรรมดาสามัญก็ด้วยการตั้งจิต การทำสิ่งนี้สิ่งนั้นเพื่อเอกองค์อัลลอฮฺเท่านั้น

ทีนี้มันก็มาถึงคำถามสำคัญที่ข้าพเจ้ามักจะถามตนเอง คือ แล้วการตั้งจิตเพื่อเอกองค์ท่านนั้นเป็นเช่นไร? เป็นเช่นป้ายแขวนตามมัสยิด ๓ จังหวัดชายแดนใต้ที่เขียนระบุว่า "ฉันเข้ามาและจะอิอตีกาฟในมัสยิดนี้เพื่อนอัลลอฮฺซุบฮานาฮูวาตาอาลา" หรือเหมือนกันตั้งจิต นาวัยตู บลา บลา บลา ก็ว่ากันไป

พึงสังเกตให้ดีลักษณะและความรู้สึกการตั้งจิต (ตามประสบการณ์เลยวัยเบญจเพศของข้าพเจ้านั้น) น่าจะแบ่งได้ ๒ ลักษณะ
   
         ๑ . ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูต่างๆ 
         ๒. ลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตเพ่งเลงแต่ความรู้สึกมันบอกเองว่าฉันอยากทำความดีนี้ ณ เวลานั้น

ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูโดยภาพรวม คือ การที่เราจะอยู่นิ่งๆ จิตก็อ่านประโยคอยู่ในใจว่า ฉันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเอกองค์ท่าน มันเป็นการทำงานของความนึกคิด + กับการบีบคลายของหัวใจ หรือ หัวใจกายภาพนั้นเอง ซึ่งก็ปราศจากความรู้สึกใดๆ (ไม่เชื่อก็ลองสังเกตเอง เมื่ออาบน้ำละหมาดหรือยามตักบีร) ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่ามันคงจะเป็นลักษณะของกิจการใดที่เรากระทำจนเคยชิน เราก็เลยไม่มีความรู้สึกร่วมขณะตั้งจิต แต่เมื่อลองทำกิจกรรมอื่นที่ต้องมีการตั้งจิตนาวัยตูเป็นกิจจะลักษณะ ข้าพเจ้ากลับพบว่าตนเองก็เป็นเหมือนเคยคือก็ไม่ได้มีความรู้สึกซ้าบซ่านในการตั้งจิตทำดี (ข้าพเจ้ากล่าวถึงตนเอง it is not applicable to everybody) แปลกจริงการงานเช่นนี้ การตั้งจิตในงานลักษณะนี้ควรจะมีความรู้สึกร่วมด้วยสิ เพราะเราทำแล้วก็ไม่ได้เงิน ทำแล้วก็ไม่ได้อิ่มท้อง แต่เราต้องการความอิ่มใจ หากแต่ยามนาวัยตูต่างๆ ใจมันไม่รู้สึกรู้สา แล้วใจมันจะไปอิ่มได้อย่างไร ข้าพเจ้าจึงคิดเอาเองว่าถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเพียงการทำงานของหัวใจกายภาพนะสิ

ส่วนลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตแต่ความรู้สึกมันจุกคออยู่นั่นแล้ว เช่นยามใดที่พระองค์ท่านทรงดลบันดาลให้หัวใจเราเกิดรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมยามละหมาด น้ำตาปริ่มๆ จะไหล หลังละหมาดเสร็จมันอยากทำความดีไปเสียหมด อยากอ่านอัลกุรอาน อยากให้ทาน คืนนี้กูจะต้องตื่นละหมาดตะฮูยุด (สุดท้ายหลับสนิท) หรือการทำดีลับตาคน แม้ว่าขณะกระทำความดีนั้นเราจะพยายามตั้งจิตตั้งบรรทัดนียัตนาวัยตูว่าฉันทำเพื่อพระองค์ท่าน การทำดีลับตาคนมีเหตุผลมากมาย เช่น ความรู้สึกอยากทำดีในขณะนั้น แต่ก็กลัวว่าการทำดีนั้นจะสูญเปล่า เราจึงพยายามยัดบรรทัดนาวัยตูเข้าหัวใจขณะปฏิบัติไปด้วย (เรียงตามลำดับเลยนะ ความรู้สึก + เพื่ออัลลอฮฺ ) และก็มีบ่อยครั้งไปที่เราทำดีลับตาคนก็เพื่อความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์เท่านั้น (เพื่ออัลลอฮฺ + ความรู้สึกอาจมาทีหลัง)

ข้าพเจ้าถูกยัดเยียดความคิดที่ว่า "เราควรเนียตเรียนเพื่อศาสนาเพื่ออัลลอฮฺ" ข้าพเจ้ารับมาแล้วก็เงียบแต่หัวใจมันแหกปากถาม แล้วควรและเป็นยังงัยไอ้การเนียตเพื่ออัลลอฮฺเนี้ย ที่โรงเรียนเขาก็พูดกันแต่ก็ไม่มีใครให้ความกระจ่างนี้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาพูดกันว่าเราควรเรียนเพื่อศาสนา แล้วก็เรียนกันไปเรื่อยๆ จบแล้วก็ออกมาทำงาน ซึ่งก็เหมือนคนทั่วไป แล้ว significant ของเนียตมันอยู่ตรงไหน

The point of this article is ที่บอกว่าทุกการกระทำในชีวิตนี้เราควรเนียตเพื่อพระองค์มันจะได้ไม่สูญเปล่า แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อกล่าวถึงการทำเพื่อพระองค์ เรามักจะใช้ใจกายภาพนึกอยู่ในใจว่าเราทำเพื่อพระองค์ ทั้งที่บางครั้งใจมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แข็งกระด้าง เช่นนั้นแล้วมันจะเป็นไปเพื่อพระองค์จริงๆ หรือ เพราะการทำดีนั้นด้วยตัวมันเองก็คือกิจกรรมหนึ่งที่เราทำ หากแต่แฝงด้วยบริบทอีกหลายๆ บริบทที่เป็นตัวกำหนดว่านั่นคือการทำดี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าความรู้สึกยามกระทำต่างหากที่บอกว่าเราทำเพื่ออัลลอฮฺ หากไม่รู้สึกมันก็แค่การทำดีธรรมดาๆ เท่านั้น

ปล.        ทั้งหมดเป็นความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียวจะผิดจะถูกผู้อ่านควรพิจารณาเอง
ปล๒      ที่ต้องเขียนคำบางคำเป็นอังกฤษนั้นเพราะยามที่ลงดร๊าฟในกระดาษความคิดมันออกมาเป็นอังกฤษ เลยไม่อยากตัดอรรถรสขณะเขียนนั้นทิ้ง


วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไปเจอมา

หลักจากวันนี้จะโพสต์บทความวันละ ๑ บทความเป็นเวลา ๑ อาทิตย์ (จะเอาไปสมัครแอดเซนซ์)


วันนี้ลองควานหาความคิดและความรู้สึกเอามาเป็นต้นทุนในการเขียน แต่ไม่เจออะไร เลยต้องขุดของเก่าๆ เอามาขายอีกแล้ว


ข้อความด้านล้างนี้ได้มาจากการอ่าน พบเจอบรรทัดไหนถูกใจก็จดไว้ เอามาแชร์ๆ กันอ่านเผื่อจะได้ประโยชน์กัน


๑. เราหันซ้ายหันขวาก็เจอะแต่พระหมอและครู ซึ่งก็ให้บังเอิญว่าแต่ละคนกำลังเล่นบทบาทที่สอดรับกับ "จริตเสพติดครูบาอาจารย์ของเราพอดี"


๒. ชีวิตที่สงบเย็นนั้นปฏิเสธซึ่งการเป็นประโยชน์มิได้ (ชอบมาก)


๓. การเมืองเรื่องอุตสาหกรรมครอบครัวมันก็น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้


๔. อย่าปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยเพราะหากคุณไม่เริ่มต้นผลคงไม่เกิด เราไม่จำเป็นต้องเห็นตลอดเส้นทางหรือเห็นเส้นทางทั้งหมด แต่หากคุณเริ่มและลองดูคุณอาจจะเห็นทางอีกหลายทางซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้


๖. อุปสรรคคือความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง


๗. เมื่อใดที่ความมุ่งมั่นของคุณออกเดินทาง


๘. ข้าพเจ้าพยายามบีบเค้นความคิดของตนเอง หากว่าข้าพเจ้ามิได้เติบโตจากบริบทและแวดล้อมในอดีต ผลพวกจะปั้นแต่งและเสริมส่งให้ข้าพเจ้าเป็นเช่นไรในปัจจุบัน 




พรุ่งนี้จะมาโพสต์เรื่อง "การตั้งจิต หรือ เนียต" keyword: ใจกายภาพ กับ จิตภายใน

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เวลาเมื่อต้องตาย

คุณเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม? คุณเป็นคนที่รู้ตนเองว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต จะไปไหนเพื่ออะไรและเพื่อใคร? งั้นลองมาลิสต์ดูกันหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าก็จะลิสต์ของตนเองออกมาเหมือนกัน


ข้างล่างนี้เป็นรายนามเป้าหมายความต้องการของข้าพเจ้าที่ต้องการให้สำเร็จในอีก ๕ ปีข้างหน้าแบบไม่โกหกตัวเอง
แผนงาน ๕ ปี

๑. มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
๒. มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง
๓. มีรถ ๑ คัน
๔. มีครอบครัว

ขั่นตอนต่อไปให้เอาเป้าหมายทั้งหมดที่ลิสต์ออกมาเขียนลงในกระดาษอีกแผ่นนึงโดยที่ให้เพิ่มประโยคต่อไปนี้ข้างหน้าแต่ละเป้าหมาย "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่" และให้เว้นพื้นที่ข้างหลังประโยคเล็กน้อยเพื่อเขียนคำตอบ ประโยคเต็มๆ ที่จะได้ตัวอย่างเช่นเป้าหมายที่หนึ่งของข้าพเจ้าก็จะเป็นดังนี้ "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน"

คำตอบที่คุณตอบต้องเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุด เรามีคำตอบให้คุณเลือกสองคำตอบเท่านั้น นั่นคือเสียใจกับไม่เสียใจ ทีนี้ก็มาดูคำตอบกันว่าเป็นยังงัย ของข้าพเจ้าออกมาลักษณะนี้

๑. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
คำตอบคือเสียใจ

๒. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง        คำตอบ ไม่เสียใจ
๓. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มี 1 รถคัน                         
คำตอบ ไม่เสียใจ

๔. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีครอบครัว                 
คำตอบ ไม่เสียใจ

คำตอบเหล่านี้ของข้าพเจ้าเป็นคำตอบที่ได้จากความเป็นตัวตนอันเป็นแรงผลักดันจากบริบททั้งสิ้นทั้งปวงที่บรรจงตัดแต่งและเสริมสร้างให้เป็นเช่นข้าพเจ้าทุกวันนี้ คำตอบของคุณอาจจะแตกต่างกันออกไปเพราะมันย่อมจะอ้างอิงถึงความเป็นตัวคุณ จากนั้นเรามาดูคำตอบกัน


คำตอบแรกของข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในหลายๆ เป้าหมาย ๕ ปี ทำไมต้องเสียใจกับเป้าหมายนี้ถ้าหากต้องตายไปแล้วยังทำไม่ได้ มันมาจากฐานความคิดที่ว่า เราเกิดมาแล้วต้องตายไปโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นเลยหรือ! มันชั่งเป็นหนึ่งชีวิตที่ต่ำเตี้ยและไร้ค่าสิ้นดี ด้วยชุดความคิดที่อิงศาสนาอิสลามที่ว่า ตายไปเราต้องไปเจออะไรหากไม่มีคุณความดีติดตัวดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าก่อนตายควรทำความดีเพื่อการเป็นอยู่ต่อไปหลังความตายมันจะได้สะดวกสบาย ไอ้ความดีที่ให้ผลประโยชน์ในระดับปัจเจก ทุกคนเขาก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีคุณความดีในระดับวงกว้างที่เผื่อแผ่ผู้คนมันคงเหมือนบ้านเช่าที่เราให้เขาเช่า ซึ่งเขาก็ต้องจ่ายค่าเช่าให้เราทุกเดือนไปแม้เราจะกระเษียรตัวเองแล้วก็ตาม ห้องเช่านั้นหรือหลายๆ ห้องเช่าก็ยังคงส่งต่อดอกผลให้เราอยู่เรื่อยไป


ทีนี้ก็มาดูเรื่องเวลาโดยอ้างอิงจากคำถามและคำตอบข้อแรกของข้าพเจ้า เมื่อได้คำตอบข้าพเจ้าหันมาดูตนเเอง ณ ขณะนี้ วันๆ เราทำอะไรบ้าง เวลาที่เราเสียไปในแต่ละวันมันตอบคำถามข้างต้นได้ดีแค่ไหน สิงที่ข้าพเจ้านั่งทำในแต่ละวัน ข้าพเจ้าเรียกมันว่างาน แต่มันเป็นงานทำเงินโดยไม่มีเวลาเจียดแบ่งไปทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมอย่างแท้จริง เช้ายันค่ำเวลาหมดไปกับงานทำเงิน แล้วจะทำอย่างไรเราจะไม่ต้องเสียใจหากต้องตายในวันนี้ จะทำอย่างไรให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆ เราก็ได้ทำดีที่สุดในการงานเพื่อผู้คนและศาสนาอยู่บ้าง มันก็มาถึงเรื่องการแบ่งเวลา เราควรแยกให้ออกว่างานทำเงินกับงานทำบุญ บางครั้งมันคนละอย่างและบางครั้งมันก็เป็นงานเดียวกัน หากเราแน่ใจว่าลักษณะงานของเรามันบ่งบอกถึงการงานทำเงินโดยแท้ เช่นนั้นแล้วเราก็ควรเจียดเวลาหางานเพื่อบุญกุศลและความสุขทางใจบ้าง แต่หากมันรวมอยู่ในงานเดียวกันแล้วก็ดีเราจะได้ไม่ลำบากเรื่องการแบ่งเวลา แต่ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วละว่าจะแบ่งเวลาอย่างไร หรือเปลี่ยนงานเป็นงานทำเงินเลี้ยงชีพครึ่งวัน อีกครึ่งวันเป็นงานเลี้ยงใจ เพราะเขาต่างก็บอกว่างานที่ให้ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นงานที่เราได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาจัดสรรแบ่งเวลาเพื่อชีวิตสุขขีกายและใจ


การแบ่งเวลานั้นข้าพเจ้าคิดว่า การที่เราจะเป็นคนประสบความสำเร็จมันไม่จำเป็นจะต้องสามารถแบ่งเวลาในหนึ่งวันทำอะไรได้หลายๆ อย่างหรอก เอาแค่สองอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้นนั่นก็ถมเถแล้วแต่ต้องเป็นสองอย่างที่ทำให้ดีที่สุด เพราะหากต้องตายในวันนี้เราจะสบายใจได้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว การทำดีที่สุดใจจะต้องมีสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะแบ่งเวลาได้เอง เพราะเราจะไม่ไปเสียเวลาหรือจับจดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะรู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือให้ทำอย่างอื่น หากใจไม่มีสมาธิมันจะวิ่งวุ่นไปทั่วงานตรงหน้าก็ไม่เสร็จ จับจดอีกต่างหาก สุดท้ายก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนแบ่งเวลาไม่เป็น


เวลาในหนึ่งวันเราแบ่งไปทำอะไรบ้าง เวลาในหนึ่งวันเราเอาไปใช้ทำอะไรกี่อย่าง แล้วแต่ละอย่างนั้นส่งเสิรมให้เราไปถึงเป้าหมายของเราหรือไม่ การตั้งคำถามเช่นนี้จะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เราต้องทำในวันพรุ่งนี้


ข้าพเจ้าว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าในหนึ่งวันเราสามารถแบ่งเวลาไปทำอะไรกี่อย่าง มันสำคัญตรงที่ว่าในหนึ่งวันนั้นการกระทำของเรามันสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตที่เรามีหรือไม่ เมื่อเราตระหนักการจัดสรรแบ่งเวลาก็จะเป็นเรื่องธรรมชาติไปเอง


ทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเพียงอากาศธาตุทางความคิดของข้าพเจ้า จะถูกจะผิดมันอีกเรื่องนึง

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรู้

อ่านแล้วอยากเก็บไว้เลยเอามาแปะไว้ในนี้
คงไม่กล่าวหาว่าข้าพเจ้าลอกมาโดยไม่ระบุที่มานะเพราะให้เครดิตผู้เขียนเต็มที่เลย พร้อมแห่งอ้างอิง


ความรู้
โดย : ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

ตอนที่ผมออกมาทำธุรกิจของตนเองกับหุ้นส่วนเมื่อหลายปีก่อน นึกในใจว่าแล้วเราจะเอาอะไรไปแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติที่มี Know how มาจากบริษัทแม่

ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ไม่นาน ก็มีคำตอบให้กับตนเองว่าความรู้มีอยู่ทุกหนแห่ง ถ้าเราอยากรู้ เราสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง วิธีง่ายที่สุดคือเริ่มต้นจากการอ่าน ผมอ่านหนังสือต่างประเทศที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการ การตลาด เรื่อง Strategic development
 
ในช่วงหลายปีนี้ผมน่าจะอ่านหนังสือไปแล้วหลายร้อยเล่ม
 
นอกจากหนังสือผมยังติดตามองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่มีอยู่ในโลกของ Internet ทั้งเสียเงิน และไม่ต้องเสียเงิน
 
แล้วผมก็ทำตัวเป็นฟองน้ำกับเครื่องกรองน้ำที่จะตักเอาสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ โดยประมวลสิ่งเหล่านั้นเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจ ทำให้เรามี Competitive edge ในการทำธุรกิจ
 
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด ไม่ได้มีความต้องการที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง เพียงอยากจะหยิบเรื่องนี้มาเป็นต้นเรื่องของการพูดคุยกับท่านผู้อ่านในหัวข้อเรื่องว่า ความรู้
 
ผมมีความเชื่อว่าความรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนอยากที่จะเรียนรู้ โดยรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้อง แล้วลงมือค้นหาคำตอบโดยการใช้สามัญสำนึกในการผสมผสานความรู้ข้ามสายพันธุ์ เพื่อทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา
 
สาระสำคัญในเรื่องนี้มีอยู่สองประการ
 
ประการแรก สามัญสำนึกคือ Judgmental factor ว่าอะไรควรรู้และอะไรไม่มีประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่บางครั้งผู้คนมองข้ามไป
 
เคยมีคนถามผมว่าแล้วคำว่าสามัญสำนึกคืออะไร ไปเปิดพจนานุกรม คำอธิบายของมันคือ Common feeling of humanity
 
ขออนุญาตยกตัวอย่างให้เข้าใจความหมายของคำว่า สามัญสำนึกผมมีหลานคนหนึ่งเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทุกปีเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านตอนช่วงหน้าร้อน มีอยู่ปีหนึ่งมีเพื่อนของหลานมาถามว่าเขาขอมาอาศัยที่ห้องพักในช่วงที่หลานผมเดินทางกลับเมืองไทย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า หลานผมบอกว่าไม่มีปัญหา แต่ขอให้ดูแลห้องให้เรียบร้อยตอนที่เขาไม่ใช้ห้องแล้ว โดยถอดปลั๊กของอุปกรณ์ไฟฟ้าออกเพื่อความปลอดภัย
 
หนึ่งเดือนผ่านไปหลานผมเดินทางกลับมา เขาตกใจสุดขีดเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วพบว่ามีมดและแมลงเต็มไปหมดบนจานอาหารที่อยู่ในตู้เย็น
 
ทำไมรู้ไหมครับ เพราะเพื่อนของเขาลืมเอาสามัญสำนึกมาใช้งาน จึงถอดปลั๊กตู้เย็นออกด้วยทั้งๆ ที่มีจานอาหารอยู่ในตู้เย็น
 
สามัญสำนึกสำคัญอย่างไร ผมคิดว่ามันทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกรองสิ่งที่เข้าไปหัวสมองเรา ในชีวิตจริง หนังสือหลายเล่มเขียนดีแต่ดีในภาคทฤษฎี หลายเล่มดูเข้าท่าแต่ใช้งานได้ในบริบทของบ้านเมืองผู้เขียนเท่านั้น สามัญสำนึกเป็นตัวบอกเราว่าอะไรใช้งานได้ในชีวิตจริง
 
ประเด็นที่สอง องค์ความรู้ในโลกใหม่คือการผสมผสานความรู้ข้ามสายพันธุ์เพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ใช้ภาษาที่ผมใช้คือ Category expertise ไม่สามารถทำให้เรามีความเป็นเลิศในสิ่งที่เราทำได้ เราต้องอาศัย Cross industry learning หยิบเอาความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนำมาบวกลบคูณหารกับสิ่งที่เรารู้อยู่เดิมแล้ว แล้วสร้าง Correlation ของความรู้ต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน เพื่อทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่างที่สร้างความได้เปรียบให้กับเรา
 
ทำไมจึงต้องเอา Category expertise ผสมกับ Cross industry learning
 
คำตอบง่ายนิดเดียวครับ เดียวนี้โลกเรามีความสลับซับซ้อนของปัญหามาก ไม่ใช่ชั้นเดียวเชิงเดียวเหมือนในอดีต ดังนั้นถ้าใครมองปัญหาด้วยองค์ความรู้เดียวน่าจะเสียเปรียบ เป็นการมองปัญหาไม่ครบมุม
 
สุดท้ายขออนุญาตเพิ่มเติมว่าความรู้เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว ดังนั้นการยึดติดคิดว่าความรู้เป็นของตายตัวจึงเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้ และทำให้ผู้คนหยุดการพัฒนาตนเอง
 
ความอยากที่จะเรียนรู้ สามัญสำนึก และทักษะในการผสมความรู้คือที่มาของความรู้ใหม่ที่ทำให้คุณพึ่งพาตนเองได้

อ้างอิง จากและเมื่อวันที่ 30/4/2010 http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/prasert_blacksheep/20100429/112813/ความรู้.html 

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ความหวังของบิดามารดร

ความยากลำในการทำนุบำรุงลูกเล็กเด็กแดง หรือลูกของตัวให้เจิรญงอกงาม เป็นไม้ใหญ่ เป็นคนดีของพระศาสนา ของสังคม และของโลก ย่อมเป็นภาระที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ยอมรับที่จะแบกไว้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ด้วยสายสัมพันธิ์ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตา และลูกๆ อย่างเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันเป็นเช่นไรจนกว่าเวลาที่เราจะไปยืน ณ จุดนั้นเช่นท่านทั้งสองมาถึง ย่อมมิเพียงจะทำให้ท่านทั้งสองยอมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และหยาดเหงื่อ แต่ในขณะเดียวกันมันยังนำพาความปีติและความสุขใจยามได้เห็นลูกเรายืนอยู่ ณ จุดประสบความสำเร็จตามแต่ทรรศนะที่พ่อแม่มีต่อความสำเร็จนั้นๆ ผิดแผกตามตัวปัจเจกไป


เราในฐานะลูกเล็กเด็กแดงในสายตาพ่อแม่ มิใช่มิอยากไปให้ถึงความสำเร็จนั้น แต่บางครั้งนิยามของความสำเร็จที่ลูกๆ มี และนิยามความสำเร็จที่บิดามารดามีอาจต่างกันก็เป็นได้ เมื่อลูกรู้ว่าความสำเร็จที่ตนต้องการนั้นไม่สามารถเดินถนนสายเดียวกันกับคนส่วนใหญ่ที่มีนิยามความสำเร็จร่วมกันซึ่งก็รวมพ่อแม่ของตนอยู่ด้วย ลูกจึงเลือกเดินถนนสายอื่นซี่งอาจจะดีกว่าหรือไม่เข้าท่าเลยในสายตาของบุพการี ความหวังที่พ่อแม่เฝ้าคอยที่จะเห็นดอกผลแห่งการงานที่ตนเฝ้าป้อนข้าวป้อนน้ำลูกน้อยนั้นทำไมยังมาไม่ถึงซักที ลูกน้อยเมื่อจับคลื่นความคิดเช่นนี้จากพ่อแม่ของตนได้ก็ยิ่งลำบากและครั่นเนื้อครั่นใจที่ตนไม่สามารถทำให้ท่านดีใจได้เสียที


บางขณะที่ครุ่นคิดหนักเข้าจึงนำพาให้ความอวิชาเข้าสิง อ๋อท่านก็ต้องการเพียงเงินตราอยู่สุขสบาย และคำพูดต่างๆ นาๆ ที่จะได้ไปเล่าขานกับใครต่อใครว่าลูกน้อยของกูนั้นมันได้ดีแล้ว มันจะทำให้กูมีความสุขในไม่ช้า ซึ่งแน่นอนว่าลูกน้อยย่อมเข้าใจความหวังสูงตระหง่านนั่นและเห็นเป็นหน้าที่ๆ จะต้องทำให้บุพการีสุขใจสบายกายตราบที่มันไม่ขัดต่อหลักการพื้นฐานใดๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ทำไมบิดามารดรไม่เห็นหรือว่าลูกน้อยกำลังเดินฝ่าคลื่นพายุทะเลทรายเพื่อจะทำให้ท่านสุขใจที่ได้ความอยู่ดีและคำพูดเอาไปอวดเพื่อนบ้าน


การจะไปว่ากล่าวที่ท่านมีนิยามและกระบวนทรรศต่อความสำเร็จที่เป็นสูตรสำเร็จก็ไม่สมควร เพราะชีวิตครั้งยังหนุ่มสาวนั้นก็ลำบากลำบน กัดฟันสู้ชีวิตเสมอมา (ภาพฝ่ามืออรหันต์ที่ท่านทั้งสองส่งมอบให้แก่กัน  ยังคงตราตรึงในมโนภาพลูกน้อยหลายๆ คนไม่เสื่อมคลาย) และตั้งจิตหวังไว้ลึกๆ ว่าลูกน้อยของเราจะต้องได้รับการพูมฟักและไกลห่างความเจ็บปวดที่เราเคยประสบมานี้ ลูกเราต้องประสบความสำเร็จ มีหน้ามีตาและเงินทองตามนิยามที่ท่านได้จำใส่หัวใจที่เจ็บปวดครั้งกระโน้น


แล้วจะให้ลูกน้อยทำอย่างไรเล่า ในเมื่อพ่อแม่ก็ทราบดีว่าการดำเนินชีวิตในโลกนี้มันใช่ว่าจะสะดวกสบายตามใจแฮ หากแต่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และร่างแหที่คอยดักและทิ่มแทงให้เราเจ็บและล้มได้ทุกระยะการเดินทาง การจะไปให้ถึงที่หมายที่ใฝ่ปองไม่ว่าจะทั้งที่วางอยู่บนนิยามของลูกน้อยเองหรือของบิดามารดรเองนั้นไซร้ก็ใช่จะหาเจอในวันสองวัน มิหนำซ้ำหากอุปนิสัยของลูกน้อยที่พ่อแม่คอยฟูมฟักไปด้วยกันไม่ได้กับกระแสหลากไหลตามสังคม ก็ยิ่งเพิ่มความลำเข็ญ, ระยะทาง, และระยะเวลาที่จะไปให้ถึงจุดปลายเข้าไปอีก


จึงอยากจะให้ท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งหลายเห็นใจความเป็นตัวตนของลูกน้อยบ้าง ให้เขาได้ปรับตัวและปรับเส้นทางประสบความสำเร็จตามนิยามที่เขายึดถือเถิอดแม้มันจะใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ ซักวันหนึ่งลูกน้อยย่อมจะพบกับเส้นทางที่ตนเองกำลังขวนขวายและค้นหาเอง


และใคร่จะให้ท่านบิดากับมารดาแน่ใจได้เลยว่า แรงงาน แรงกาย แรงใจ ที่ทุ่มเทใสปุ๋ยรดน้ำให้ลูกน้อยนั้นไม่มีวันเสียเปล่า หรือให้ท่านเหนื่อยฟรี เฉกเช่นประสบการณ์ก่อนกาลที่ท่านเคยประสบมาแน่นอน


สัญญา

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

การเดินทางของเวลา และบันทึก

เป็นหนังสื่อที่น่าอ่านทีเดียวสำหรับ "follow your heart, ก้าวไปตามใจฝัน" เป็นหนังสือพิมพ์นานแล้วของสำนักพิมพ์ ซีเอ็ด ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ นู้น อ่านแล้วรู้สึกดี มันก็เหมือนงานเขียนของผู้เขียนคนอื่นๆ ที่เขียนด้วยความจริงใจและตั้งมั่นเพื่อประโยชน์สุขของผู้อ่าน ซึ่งคนอ่านเขาก็ย่อมรับรู้ได้ว่าเป็นหนังสือหวังทำเงินหรือเพื่อช่วยเหลือและยกระดับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันไม่ใช่หนังสือ how to หรอกนะแต่มันเป็นหนังสือที่สนับสนุนการค้นหาตัวเอง


เช่นที่ผู้เขียนๆ ไว้นั่นเองว่า เมื่อเรามุ่งมั่นสู่สิ่งใดทันใดนั้นมันก็เหมือนว่าเราอยู่ถูกที่ถูกเวลา ไม่ว่าผู้คน, สิ่งของ, และแวดล้อม ต่างก็ช่วยเกื้อหนุนให้เราไปถึงจุดหมาย (ส่วนใหญ่อะนะ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่ของข้าพเจ้า เป็นของญาติผู้พี่เขา ซึ่งก็ประจวบเหมาะที่ข้าพเจ้ากำลังคลำและล้มลุกคลุกคลานกับการค้นหาตนเองด้วยเช่นกัน อ่านแล้วสงบดี


การเดินทางของเวลาที่เรารู้สึกเนิบนาบในชั่วโมงที่เราต้องการเร่งมันให้ทะลุเข็มบอกระยะทางนั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย คล้ายๆ สำนวนอาหรับที่ว่า "เฮ้ย เจ้าที่กำลังเร่งรีบอยู่นะ หยุดซักครู่ซิฉันจะบอกอะไร" ก็จะมาบอกอะไรเล่าคนเค้ากำลังรีบ ก็นั่นไงยิ่งเรารีบมันก็ยิ่งมีข้าวของ ผู้คน เข้ามาทำให้เราสะดุดยิ่งช้าเข้าไปอีก แต่ทำไงได้เล่าเราไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว เราอยากให้ไปถึงจุดหมายและฝั่งฝันให้เร็วที่สุดเท่าที่ความนึกคิดของเราจะพาไปได้ เรารู้สึกว่าเราเสียเวลามามากแล้ว และปัจจัยต่างๆ ก็บีบอัดเข้ามาทุกที เราจำเป็นต้องทำให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว แต่เปล่าเลยยิ่งเร็วมันยิ่งช้า ยิ่งสับสน ยิ่งจับจน จับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้ายในความเร่งรีบก็เป็นความสูญเปล่า ที่รู้สึกว่าเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก


หรือจะดีกว่าที่จะทำเรื่อยๆ เพราะทุกสิ่งมันย่อมมีครรลองของมันเอง ไข่มันจะยังไม่ฟัก จะไปเร่งแม่ไก่ให้กกไข่ทั้งวี่วันได้อย่างไร ทำในสิ่งที่เราควรทำแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น จะช้าจะเร็วมันถูกกำหนดมาก่อนหน้าแล้ว และเราก็มายืนอยู่ ณ จุดที่ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน อยากจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ได้เท่านี้แหละ การกำหนดจิตเช่นนี้เป็นความยากลำบากยิ่ง เพราะใจมันร้อนอยากจะสำเร็จ แต่ต้องมาควบคุมให้มันเย็นและค่อยๆ เดินเพื่อให้ไปถึงจุดหมายอย่างมั่นคงและถูกต้อง เพราะเราเองก็ทราบว่าความมุ่งมั่นที่มั่นคงนั้นนำไปสู่ความสำเร็จที่สงบเย็นและน่าภูมิใจปานใด แต่ก็นั่นแหละใจมันต้องฝืนหลายอย่าง


ทำอะไรที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วก็ปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลองกำหนดชัด ไม่ต้องไปเร่งรีบทั้งจิตใจและร่างกายให้ตะเกียกตะกายไปถึงจุดมุ่งหวังดั่งใจติดจรวดหรอก ดินประสิวมันจะจุดไฟไม่ติดเสียเปล่าๆ ปล่อยมันเรื่อยๆ แต่ทำให้ดีที่สุด สุดท้ายมันจะไปถึงของมันเอง


บันทึกของเราบางครั้งอ่านแล้วงง เพราะเป็นการบันทึกที่พยายามอุปมาอุปไมยสื่อถึงสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ยอมเผยข้อเท็จจริงโล่งแจ้ง จนบางครั้งเราเองก็รู้สึกว่าข้อความที่เขียนนั้นมันเหมือนจุกขวดน้ำอัดลมที่ถูกเขย่าขวด แต่ไม่ยอมเปิดจุกให้น้ำไหลออกมาซักที อยากจะเขียนให้โล่งโจ่ง แต่ไม่ควร จึงเหมือนเขียนอะไรไม่หมด ติดอยู่ที่จุกหัวใจนั่นปะไร แต่ไม่เป็นไรมันเป็นแนวการเขียนของเรามานมนานแล้ว ที่ข้องใจตัวเองอยู่นิดนึงว่า แล้วหากกลับมาอ่านรอบใหม่ในภายภาคหน้าจะยังคงสัมผัสถึงเนื้อแท้ที่ต้องการสื่อหรือเปล่า หรือจะลืมไหลไปตามกาลเวลา


ก็คอยดูกัน

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์

ข้าพเจ้าไปเจอประโยค "จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์" มาจาก ห้างอิมพีเรียลสำโรง เห็นแล้วมันพุ่งเข้าตรงจิตของข้าพเจ้า เลยต้องเขียนบันทึกไว้ในบล็อคจิตบันทึกนี้ไว้ซักหน่อย ซึ่งไอ้ชื่อบล็อกนี้ก็ได้มาจากประโยคข้างต้นนั่นแหละ

ไปเยี่ยมน้าที่อยู่แถวสำโรง ขากลับก็เลยแวะเข้าห้างอิมเรียล เห็นเค้าตั้งโต๊ะขายเสื้อสีขาวก็เลยเข้าไปดู โอ้โหเห็นปุ๊บมันถูกจริตข้าพเจ้าปั๊บเลย เป็นประมาณเสื้อสกรีน ธรรมมะธรรมโม ครอบสุขสรรค์อะไรประมาณนั้น เสื้อก็ออกแบบได้ไม่ตกสมัย เลือกอยู่นานว่าจะเอารูปหรือจะเอาประโยคดี สุดท้ายก็ได้เสื้อมาตัวนึงประทับประโยคด้วย "จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์" จวบจนวันนี้ประโยคนี้ก็บันทึกอยู่ในความนึกคิดของข้าพเจ้าเสมอมา

มันคงดีไม่น้อยที่ทุกวี่วันของเราเต็มไปด้วย จิตสะอาด และใจบริสุทธิ์ เพราะสมองเราจะได้สงบ และว่างเปล่าไม่คิดบ้าคิดบออะไรไปเรื่อยอย่างไม่สงสารตัวเอง เพราะสุดท้ายก็พบว่าตัวเองนั้นเหนื่อยกับความคิดไม่ว่างนี่เหลือเกิน 

เมื่อจิตสะอาด ใจบริสุทธิ์ ความคิดความอ่านของเราก็ย่อมต้องใสกิ๊ง เพราะไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาทำให้ใจเราขุ่น เมื่อนั้นสมองเราก็สะอาด พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ คิดได้ดีไม่จับจดอย่างไม่มีแบบแผน

เมื่อจิตสะอาด ใจบริสุทธิ์ คนเราก็ย่อมจะต้องคิดดีทำดีได้อย่างสบายใจและสงบเย็นที่สุด โดยไม่ทุกข์ร้อนไปอาฆาตมาดร้ายใคร

และหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นที่ใจขุ่นวัน เพราะมัวแต่จะสะสางล้างแค้น อันจะนำพาให้ประเทศล่มจมก็มิได้สนใจใยดีอัน จะได้มี จิตสะอาด และใจบริสุทธิ์ ได้ในที่สุด 

ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอใช้จิตเพื่อบันทึกเป็นอนุสรบันทึกแก่ตนเองและเพื่อนร่วมชาติ เพราะอยากให้คนในประเทศนี้มีลักษณะดังประโยคข้างต้นประดับประดา จิตและใจของตนเอง

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

การชุมนุมของคนเสื้อหลายสี

เย็นวันนี้ข้าพเจ้าพยายามดั้นด้นออกไปข้างนอกทั้งที่อากาศกรุงเทพร้อนระอุเหลือเกิน ด้วยความตั้งใจที่จะไปร่วมสำแดงพลังความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเหล่าพี่น้องเสื้อแดง เขาน่าจะได้รู้ว่าคนหมู่มากนั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำย่ำยีความสงบสุขของบ้านเมืองเรา เขาเหล่านั้นอาจจะปฏิเสธว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมิได้มาจากน้ำมือของเขา แต่ทำไมความคิดแรกที่คนทั่วไปคิดคือ ต้องเป็นฝีมือคนพวกนั้นแน่ๆ เลย ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆ คือไม่เห็นด้วยกับการไปตั้งฐานชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อใดที่การกระทำของเราทำให้ผู้อื่นเขาเดือดร้อน แน่นอนว่านั่นย่อมบ่งบอกถึงความไม่ชอบธรรมที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่า


การไปชุมนุมเย็นนี้คนเขามากันเยอะนะ ถือธงไทยมากันคนละอัน โบกกันไปโบกกันมา ดูเขาจะสามัคคีกันเหลือเกิน คนเยอะขนาดนี้เขาไม่ได้นัดหมายความสามัคคีกันหรอก แต่เขารู้สึกถึงว่าเราจะต้องมาแสดงความสามัคคีให้คนที่เป็นปฏิปักกับชาติได้รู้และเห็นว่ายังมีกลุ่มคนที่รับไม่ได้กับความอธรรมที่คนบางคนประกอบกิจอยู่


ไม่นึกว่าตนเองจะได้มีโอกาสมาเป็นส่วนหนึ่งของหน้าการเมืองประเทศตนเอง คือรู้สึกอยู่คนเดียวนะ เพราะเราก็อยู่ตั้งไกล แต่ประจวบเหมาะช่วงนี้อยู่เมืองหลวงก็เลยอยากจะเห็นบรรยากาศว่าที่เขาชุมนุมกันนะมันเป็นยังงัย และมันก็อึดอัดอยู่นานสองนานแล้วกับการไม่เคลื่อนตัวซักทีของบ้านเมือง เลยอยากจะออกไปเห็นว่าคนที่เขารู้สึกเหมือนเรามันมีเยอะไหม เยอะใช้ได้เลยนะ


แต่พรุ่งนี้ไม่ไปแล้ว เปลืองเงิน และปวดหัวมากเวลานั่งรถไปมา แออัด อบอ้าว ร้อนเหลือทน


ราตรีสวัสดิ์

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเทศของข้าพเจ้า

ขณะนี้เป็นเวลา ๒๒.๒๐ น. ของวันที่ ๒๒.๔.๒๐๑๐ ข้าพเจ้ากำลังอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร
มีการยิงอาวุธสงครามเข้าไปใน สถานีรถไฟฟ้าสีลม ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เฮ้ยนี่มันเมืองหลวงนะ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้งัยว่ะ


ขณะนี้ข้าพเจ้าเกิดอาการติดตามข่าวสารอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยข่าวคราวที่ออกมานั้นสร้างความกังวลใจแก่ประชาชนของประเทศนี้เป็นอย่างหนัก และข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าคงมิใช่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกกังวล เป็นห่วง หวาดกลัว กับความไม่แน่ไม่นอนของบ้านเมืองยามนี้คงได้แพร่กระจายเข้าสู่หัวใจและความนึกคิดของประชาชนหมู่มากโดยเฉพาะผู้ที่รักและต้องการให้บ้านเมืองกลับมาสงบอย่างบริสุทธิ์ใจทุกผู้ทุกนาม


แต่ก่อนนั้นเราเป็นกังวลต่อสังคมของบ้านเมืองที่นับวันจะเหลวแหลกและเละเทะ ข่าวการล่วงประเวณี หรือแม้แต่การยินยอมของหญิงสาวเอง การขาดจริยธรรมและการยึดติดในวัตถุของคนในสังคม ปัญหาเด็ก ปัญหาครอบครัว ปัญหายาเสพติด เรานำมันมาวิพากษ์วิจารณ์หาสาเหตุและหาทางออก แต่มาวันนี้เรากลับต้องประสบปัญหาพื้นฐานหลักที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง ปัญหาความสงบเรียบร้อย และการจัดระเบียบสังคม หากแก้ปัญหาพื้นฐานหลักนี้ไม่สำเร็จละก้อ ปัญหาอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงกัน เพราะหากบ้านเมืองแตกร้าวไม่ปลอดภัย อะไรเลยจะสำคัญไปกว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศเล่า


ไม่อยากคิดเลยว่าหากเหตุการณ์ยังคงไม่สงบต่อไป บ้านเมืองเราจะเป็นเช่นไร จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างที่มีบางคนทำนายไว้หรือไม่ (ซึ่งขณะที่ฟังครานั้นก็อดขำไม่ได้) แต่ดูเหตุการณ์ขณะนี้สิ มีการป่วนบ้านป่วนเมือง มุ่งทำลายสาธารณูปโภค มีความอาฆาตมาดร้าย ที่เชียงใหม่นั้นมีการติดประกาศอย่างโจ่งแจ้งเสียด้วยว่าจะทำลายความสงบสุขของเมืองหากพวกของตนถูกกำราบขึ้นมา ที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง ผ่านมา ๓ ปีเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น นี่อำนาจรัฐของประเทศนี้มันง่อยเปลี้ยถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงขนาดว่าแม้จะรักษาความสงบสุขและอธิปไตยของบ้านเมืองก็ยังต้องทำงานกันขนานหนัก


ในสภาวะการณ์เช่นนี้คงจะหวังพึ่งใครไม่ได้แล้วนอกจากพระผู้เป็นเจ้าและตัวของเราเอง ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างสูงแม้จะเป็นความหวังที่นั่งหวังอยู่ที่บ้านคนเดียว ว่า ผู้มีจิตบริสุทธิ์ที่ต้องการความสงบสุขของบ้านเมืองกลับมาจะลุกขึ้นและร่วมมือกันเสียที การจะหวังอำนาจรัฐที่จะทำอะไรก็คิดเพียงว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเสียผลประโยชน์หรือไม่หากกระทำการใดลงไปนั้น มีหวังบ้านเมืองเราต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียก่อน ข้าพเจ้านั้นแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและอำนาจรัฐก็กีดกันเราทางอ้อมใน หลายๆ ด้านเสมอมา แต่เมื่อเห็นว่าความล่มสลายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ก็ให้หวั่นเกรงไม่น้อย นี่เราจะต้องกลายเป็นคนของประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดในภูมิภาคนี้ในภายภาคหน้าหรือ เราจะต้องมาเป็นสักขีพยานต่อการเข่นฆ่าของประชาชนด้วยกันเองหรือ และอีกหลายๆ ความกังวลที่ระบายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ถูกในขณะนี้ มันเป็นเฉกเช่นความรู้สึกเมื่อได้รับรู้ข่าวสารการก่อความไม่สงบและรัฐใช้อำนาจปราบพี่น้องร่วมผืนแผ่นดินกับข้าพเจ้าครานั้นเกือบ ๑๐๐ ชีวิต ไม่มีผิด มันเป็นความรู้สึกที่อัดแน่นและหดหู่อย่างสุดแสน ความคิดจินตนาการไปไหนต่อไหน


นี่คนเพียงคนเดียวสามารถวางแผนและก่อการให้ประประเทศทั้งประเทศที่มีประชากรถึง ๖๕ ล้านคนเกิดความปั่นป่วนและเห็นความล่มจมรำไรได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่รู้ว่าความผิดที่เขาได้กระทำในหนนี้ทั้งในทรรศนะคติของชาวพุทธเองหรืออิสลามเช่นข้าพเจ้าคงจินตนาการไม่ออกว่าเขาจะมีบาปติดตัวไปมากเพียงไร ลำพังความผิดปัจเจกชนที่เราล่วงกระทำผิดอยู่ทุกวี่วันก็มากพออยู่แล้ว นี่กล้ากระทำและล่วงล้ำสร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งประเทศเลยหรือ แล้วพระผู้เป็นเจ้าท่านจะว่าอย่างไร


ท้ายนี้หวังว่าประเทศนี้ซึ่งก็คือตัวประชาชนเอง จะสามารถก้าวผ่านอัตวิบัติในหนนี้และสามารถสร้างสรรค์ประเทศขึ้นมาใหม่ได้ในไม่ช้า ดินแห้งและพืชแล้งยามที่ถูกไฟป่าแผดเผานั้น ยามไฟลามเลียมันดูน่ากลัว เศร้าสร้อย และไร้ซึ่งความหวัง เมื่อไฟดับแม้จะเห็นแต่ความแห้งแล้งดำเป็นตอตะโกไปหมด แต่เมื่อวัสสาระฤดูมาเยือน เราจะพบว่าบนหน้าผืนดินผืนเดิมนั้นจะเต็มไปด้วยต้นกล้าแทงยอดอ่อนเขียวขจีให้ชื่นใจจนยิ้มกันแทบไม่ทัน ซึ่งมันจะเติบใหญ่ต้านแรงลม แดดเผา และพายุฝนได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเพราะมันได้ก้าวผ่านความสาหัสมาแล้วนั่นเอง และหวังว่าวัสสานะฤดูจะมาเยือนประเทศเราในอีกไม่ช้า

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เงินออนไลน์

สลาม


ตอนนี้กำลังขมักเขม้น หน้าดำคร่ำเครียดศึกษาวิธีทำเงินออนไลน์ ทีแรกก็ไม่เคยสนหรอกนะไอ้งานพวกนี้ เพราะรู้สึกเหมือนมันให้ไม่จริง แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนใช้เน็ตบ่อยมาก จนบางครั้งนั่งหมกมุ่นอยู่หน้าเน็ตทั้งวันเลย


มีอยู่วันนึ่ง (ขอเล่านิดนึง) ก็เดินทางในโลกอินเตอร์เน็ตเหมือนทุกๆ ครั้ง เซิรช์หาในพี่กูแกไปเรื่อยตามประสา ไปสะดุดตากับหัวข้อๆ นึง เขาเขียนว่า "รายได้ขำๆ" ไอ้เรายิ่งเป็นคนขาดรายได้อยู่ ก็ลองคลิกเข้าไปดู เจ้าของเว็บนั้นเขาเขียนไว้ประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้แล้ว คือว่า เขาจดโดเมนและเช่าโฮสต์และทำเว็บทิ้งไว้ โดยที่เอา แอดเซ้นซ์พี่กู (เกิ้ล) ไปลง ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นหลายเดือนโดยที่ไม่ได้เข้าไปอัฟเดทหรือติดตามข่าวสารของเจ้าเว็บนั้นเลย จนวันที่เขาเปิดมาดูไหมและเข้าไปเช็คยอดเงินในแอคเค้าต์ของเขา พบว่ามีเงินเข้ามาด้วย ก็เลยเอามาลงไว้ในเว็บขำๆ บอกให้คนอื่นรู้


ข้าพเจ้าก็เอะใจ มันมีอยู่ด้วยหรืองานอย่างนี้ทำแล้วทิ้งแถมยังได้ตังค์อีก ก็ลุยหาอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน (ตกงานอยู่ช่วงนี้) จนสุดท้ายก็มาพบว่ามันได้เงินจริง แต่ก็มิได้ง่ายขนาดนั้น มันมีวิธีการและช่องทางของมัน ซึ่งหากคนที่อยากทำงานนี้ก็ต้องศึกษาเอาเอง


สำหรับข้าพเจ้าหาไปหามา อ่านนั่นบ้างอ่านนี่หน่อย ชักจะเริ่มงงเอามากๆ คือมันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย มีศัพท์แสงที่เขาใช้กันต้องมานั่งหากันทีละตัว ว่ามันแปลว่าอะไร ยังงัย หาข้อมูลมาได้เกือบสองอาทิตย์ก็พอจะรู้เรื่องกะเค้าบ้างละเรา


คอยดูเตอะวันไหนมีรายได้เข้ามาจะเอาประจานในบล็อกนี้ให้โลกได้ประจักในความมุ่งมั่นและวิริยะของข้า 555.......................


และนี่ก็คือเองเหตุผลหนึ่งที่เริ่มเข้ามาทำบล็อกอย่างจริงจัง จากแต่ก่อนที่ไม่ชอบบล็อกเอาเสียเลย เรามันคนจำพวกชอบเก็บตัว ไม่อยากเอาตัวเองมาใส่บล็อก แต่วันนี้ได้กระทำการที่ขัดกับหลักการอันนั้นไปเสียแล้ว


เฮ้อ...หลักการมันมายาแต่ข้าวปลามันของจริงโว้ย


ไปละ

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ทุกช่วงรอยต่อชีวิต

PG Faruq 2.7
10/5/09
สุขสวัสดิ์ชีวิต 

เหลือเวลาอีกแค่เดือนเศษ แล้วข้าพเจ้าจำทำอย่างไรดีกับเส้นทางที่ไม่ใช่นักศึกษาขายแรงงานยูไอเออีกต่อไป

ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงวิถีที่เราถือเป็นครรลองดำเนินชีวิตมาตลอดระยะเวลา ๔ ปี มานี้ มันจะนำพามาทั้งความกลัว, สับสน, อยากคงไว้ซึ่งความปลอดภัย ณ ตรงนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ตะหนักอีกเช่นกันว่า การเปลี่ยนแปลงอันนี้ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมาเยือนอย่างแน่นอน และแล้วมันก็มาถึง

หากจะผิดก็คงผิดที่ตัวข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ไม่คิดและไม่เคยอยากจะเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าตนเองนั้นเป็นคนจำพวกศิลปินไส้แห้งที่ไร้ความคิดรอบคอบ จะมีก็เพียงการตระหนักรู้ ตระหนักรู้ว่ามันมีอยู่ แต่แล้วก็เลยตามเลย แล้วแต่มันจะพาข้าพเจ้าแห่งหนใด

มิน่าเล่าข้าพเจ้าถึงกลัวการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เหลือเกิน ๑) เพราะไม่รู้อนาคต และไม่เคยจะกะเกณฑ์ให้ตนเองได้พอมองออกบ้างว่ามุ่งสู่ทิศทางใด ๒) ข้าพเจ้าไม่อยากคิดหาทางออกเพื่อวางตำแหน่งของตนเองให้ได้อย่างที่ตนเองรวมถึงคนรอบข้างต้องการ ๓) จะต้องสูญเสียความปลอดภัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น งานประทังชีวิต, ที่อยู่อาศัยที่ชอบมาก, กิจกรรมยามเย็น, และมิตรสหาย

ข้าพเจ้าได้แต่เงียบเชียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อวิถีอันไม่แน่ไม่นอนและมีความเสี่ยงสูง เหตุผลเพราะข้าพเจ้าไม่อยากรับรู้นั่นเอง ก็อย่างที่ข้าพเจ้าทำมาตลอดอายุไขจวบจนปัจจุบัน มีอะไรก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่หัวใจระบม

salindongbayu

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

การงานพื้นฐานอาชีพ

งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข.......อ๋องั้นหรือ?


เหนื่อยป่าวกับการทำงาน ข้าพเจ้าว่าเหนื่อยนะ 
เมื่อกี้นั่งแปลเอกสารอยู่พักใหญ่ (ดูท่าข้าพเจ้าจะไปได้ด้วยกันดีกับการหากินทางภาษา) แปลเสร็จ โอ้ยทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ งานแปลงานล่ามนี่เหนื่อยนะจะบอกให้ มันเพลียสมอง แรงนะเก็บไว้ทำอย่างอื่น ยิ่งแปลภาษาไหนที่ไม่ค่อยถนัด เหนื่อยเป็นหลายเท่าเลย ต้องค้นนั่นค้นนี่ ดีนะสมัยนี้มีเน็ตใช้ก็เลยทุ่นแรงไปได้เยอะ บางครั้งเวลานั่งแปลรู้สึกเหมือนตัวเองเอาช้อนไปขูดสมองตัวเองยังไงยังงั้นเลย ก็พยายามคั้น, ขูด, และบิดสมองตัวเอง (เหมือนบิดผ้านะ) ในสิ่งที่อยากแปลแต่แปลไม่ออกสักที เฮ้อเขียนแล้วให้เหนื่อยอีกรอบ


ก็เลยเดินไปที่หน้าต่างสูดอากาศหน่อย ทั้งๆ ที่มันเจือปนด้วยมลพิษในอัตราที่สูง อยู่เมืองหลวงก็งี้แหละ ไหนเลยจะเหมือนบ้านนอกคอกนา อากาศนี่ใสกิ๊งเลยนะ เออมาว่ากันต่อ เดินไปสูดอากาศที่หน้าต่างแลเห็นชาวต่างจังหวัด (เหมือนตูเลย) มาขายแรงงาน ทำงานก่อสร้าง ขนดิน ขนทราย ผสมปูน ตากแดด สาระพัดสาระพัน ที่เรารู้สึกว่าเขาเหนือยกว่าเรา 


กลับมาที่ความคิดข้าพเจ้าเรื่องงานดีกว่า อันที่จริงข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อหรือศรัทธาสักเท่าไหร่กับเรื่องชีวิตต้องสู้งานนัก เขาชอบพูดกันนักว่ามีงานไหนบ้างที่ทำแล้วไม่เหนื่อย งานนะมันก็เหนื่อยทุกงานเป็นทำมะดา ไม่รู้ซิในความรู้สึกลึกๆ ของข้าพเจ้านั้นเหมือนมันกำลังบอกว่า ต้องมีซิงานไม่หนัก ไม่เหนื่อย และยังทำให้ชีวิตเราอยู่ได้โดยไม่ขัดสน มันต้องมีแน่นอน มันแค่รอเราไปหามันแค่นั้นเอง 


อย่า อย่า อย่า เข้าใจข้าพเจ้าผิด ว่าอ๋อก็มึงนะพวกขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอา เบาไม่สู้ อยากได้เงินแต่ขี้เกียจทำงาน แต่เปล่าเลยนะพี่น้อง ข้าพเจ้านี่เคยลองงานมาแล้วหลายชนิด ขนของหลังแทบหัก เป็นเด็กล้างจานเสริฟข้าวเสริฟน้ำ งานบริการ งานยืนให้เขาด่า เอาเป็นว่างานหนักข้าพเจ้าลองมาแล้วช่วงที่เรียนอยู่นะ ก็เลยรู้สึกว่าเอะนี่เราต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้เพื่อหารายได้เลยหรือ เราต้องยอมตื่นแต่เช้าโดยไม่สมัครใจเพื่อไปทำงานรับเงินเดือนเลยหรือ เราต้องยอมทนหลายๆ อย่างเพื่อหารายได้เลยหรือ ดังนั้นมันจึงเป็นปณิธารของข้าพเจ้าเลยว่าและจะฝังมันลงในหัวใจด้วยว่า ข้าพเจ้าจะทำงานไม่หนัก ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องบังคับตนเอง และไม่เครียด และต้องมีรายได้อยู่อย่างไม่ขัดสนด้วย แล้วงานอะไรล่ะสบายอย่างมึงว่านะ คำตอบคือ........................................ตูก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮา...........แต่ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนึงว่า หากใจเราบอกว่ามี สักวันหนึ่งเราก็จะหามันเจอเอง 


แม้ตอนนี้เพื่อนๆ เราจะเดินทิ้งห่างเราไปไกลแล้ว เขาได้งานได้การเสร็จสรรพบริบูรณ์ครบสูตรสำเร็จรูป ออกมาเป็นแพ็คๆ เลย ตื่นเช้า แต่งตัว เดินทาง (หาวไปพลางๆ)  ทำงาน (เบื่อไปด้วย) เดินทางกลับ (เหนื่อย, เพลีย) ถึงบ้านทำอะไรนิดหน่อย กินข้าว แล้วก็นอนเพื่อรอไปทำงานพรุ่งนี้ต่อ อ๋อลืมบอกไปนิดนึง ในหนึ่งอาทิตย์เขารอวันศุกร์ให้มาถึง ในหนึงเดือนเขารอวันสิ้นเดือนมาถึง ในหนึ่งปีเขารอวันหยุดยาวที่เฝ้าเก็บหอมรอมริบไม่ลาไม่ป่วยเพื่อจะได้หยุดยาว 


ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี ถ้าชอบมันก็ดีอยู่แล้ว ที่บอกมาก็เพียงอยากบอกว่าโดยส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ชอบมันก็แค่นั้นเอง (แต่โบราณว่าไม่ชอบอะไรจะได้สิ่งนั้นนะ) โอ้ยกลัวตายละ 


การเลือกสูตรสำเร็จมันก็ดีอย่างนะ คือไม่ต้องมาเสี่ยงตายเช่นข้าพเจ้า เสี่ยงทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำเนี่ยมันเหนื่อยนะ แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าหากเราทำมันสำเร็จมันคงเป็นความภาคภูมิใจในระดับมหาศาลทีเดียว คงจะดีใจประมาณเสียวสันหลัง ประมาณว่าเรามาถึงได้ยังงัยเมื่อมองดูผาสูงที่เราปีนป่ายแต่คนอื่นเขาไม่ปีนกัน (กำลังจินตนาการอยู่ 555)


สรุปคือทางใครก็ทางมัน แล้วเราค่อยมาเจอกันที่จุดหมาย พี่น้องว่างัยครับ