วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ความรู้

อ่านแล้วอยากเก็บไว้เลยเอามาแปะไว้ในนี้
คงไม่กล่าวหาว่าข้าพเจ้าลอกมาโดยไม่ระบุที่มานะเพราะให้เครดิตผู้เขียนเต็มที่เลย พร้อมแห่งอ้างอิง


ความรู้
โดย : ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

ตอนที่ผมออกมาทำธุรกิจของตนเองกับหุ้นส่วนเมื่อหลายปีก่อน นึกในใจว่าแล้วเราจะเอาอะไรไปแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติที่มี Know how มาจากบริษัทแม่

ผมใช้เวลาไตร่ตรองอยู่ไม่นาน ก็มีคำตอบให้กับตนเองว่าความรู้มีอยู่ทุกหนแห่ง ถ้าเราอยากรู้ เราสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง วิธีง่ายที่สุดคือเริ่มต้นจากการอ่าน ผมอ่านหนังสือต่างประเทศที่เกี่ยวกับเรื่องการบริหารจัดการ การตลาด เรื่อง Strategic development
 
ในช่วงหลายปีนี้ผมน่าจะอ่านหนังสือไปแล้วหลายร้อยเล่ม
 
นอกจากหนังสือผมยังติดตามองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่มีอยู่ในโลกของ Internet ทั้งเสียเงิน และไม่ต้องเสียเงิน
 
แล้วผมก็ทำตัวเป็นฟองน้ำกับเครื่องกรองน้ำที่จะตักเอาสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นประโยชน์ โดยประมวลสิ่งเหล่านั้นเข้ามาใช้ในการทำธุรกิจ ทำให้เรามี Competitive edge ในการทำธุรกิจ
 
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด ไม่ได้มีความต้องการที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง เพียงอยากจะหยิบเรื่องนี้มาเป็นต้นเรื่องของการพูดคุยกับท่านผู้อ่านในหัวข้อเรื่องว่า ความรู้
 
ผมมีความเชื่อว่าความรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนอยากที่จะเรียนรู้ โดยรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้อง แล้วลงมือค้นหาคำตอบโดยการใช้สามัญสำนึกในการผสมผสานความรู้ข้ามสายพันธุ์ เพื่อทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา
 
สาระสำคัญในเรื่องนี้มีอยู่สองประการ
 
ประการแรก สามัญสำนึกคือ Judgmental factor ว่าอะไรควรรู้และอะไรไม่มีประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่บางครั้งผู้คนมองข้ามไป
 
เคยมีคนถามผมว่าแล้วคำว่าสามัญสำนึกคืออะไร ไปเปิดพจนานุกรม คำอธิบายของมันคือ Common feeling of humanity
 
ขออนุญาตยกตัวอย่างให้เข้าใจความหมายของคำว่า สามัญสำนึกผมมีหลานคนหนึ่งเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทุกปีเขาจะกลับมาเยี่ยมบ้านตอนช่วงหน้าร้อน มีอยู่ปีหนึ่งมีเพื่อนของหลานมาถามว่าเขาขอมาอาศัยที่ห้องพักในช่วงที่หลานผมเดินทางกลับเมืองไทย ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือเปล่า หลานผมบอกว่าไม่มีปัญหา แต่ขอให้ดูแลห้องให้เรียบร้อยตอนที่เขาไม่ใช้ห้องแล้ว โดยถอดปลั๊กของอุปกรณ์ไฟฟ้าออกเพื่อความปลอดภัย
 
หนึ่งเดือนผ่านไปหลานผมเดินทางกลับมา เขาตกใจสุดขีดเมื่อเปิดตู้เย็นแล้วพบว่ามีมดและแมลงเต็มไปหมดบนจานอาหารที่อยู่ในตู้เย็น
 
ทำไมรู้ไหมครับ เพราะเพื่อนของเขาลืมเอาสามัญสำนึกมาใช้งาน จึงถอดปลั๊กตู้เย็นออกด้วยทั้งๆ ที่มีจานอาหารอยู่ในตู้เย็น
 
สามัญสำนึกสำคัญอย่างไร ผมคิดว่ามันทำหน้าที่เป็นตัวช่วยกรองสิ่งที่เข้าไปหัวสมองเรา ในชีวิตจริง หนังสือหลายเล่มเขียนดีแต่ดีในภาคทฤษฎี หลายเล่มดูเข้าท่าแต่ใช้งานได้ในบริบทของบ้านเมืองผู้เขียนเท่านั้น สามัญสำนึกเป็นตัวบอกเราว่าอะไรใช้งานได้ในชีวิตจริง
 
ประเด็นที่สอง องค์ความรู้ในโลกใหม่คือการผสมผสานความรู้ข้ามสายพันธุ์เพื่อเปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ใช้ภาษาที่ผมใช้คือ Category expertise ไม่สามารถทำให้เรามีความเป็นเลิศในสิ่งที่เราทำได้ เราต้องอาศัย Cross industry learning หยิบเอาความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนำมาบวกลบคูณหารกับสิ่งที่เรารู้อยู่เดิมแล้ว แล้วสร้าง Correlation ของความรู้ต่างๆ ให้มีความสัมพันธ์กัน เพื่อทำให้เรามีมุมมองที่แตกต่างที่สร้างความได้เปรียบให้กับเรา
 
ทำไมจึงต้องเอา Category expertise ผสมกับ Cross industry learning
 
คำตอบง่ายนิดเดียวครับ เดียวนี้โลกเรามีความสลับซับซ้อนของปัญหามาก ไม่ใช่ชั้นเดียวเชิงเดียวเหมือนในอดีต ดังนั้นถ้าใครมองปัญหาด้วยองค์ความรู้เดียวน่าจะเสียเปรียบ เป็นการมองปัญหาไม่ครบมุม
 
สุดท้ายขออนุญาตเพิ่มเติมว่าความรู้เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว ดังนั้นการยึดติดคิดว่าความรู้เป็นของตายตัวจึงเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการเรียนรู้ และทำให้ผู้คนหยุดการพัฒนาตนเอง
 
ความอยากที่จะเรียนรู้ สามัญสำนึก และทักษะในการผสมความรู้คือที่มาของความรู้ใหม่ที่ทำให้คุณพึ่งพาตนเองได้

อ้างอิง จากและเมื่อวันที่ 30/4/2010 http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/prasert_blacksheep/20100429/112813/ความรู้.html 

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ความหวังของบิดามารดร

ความยากลำในการทำนุบำรุงลูกเล็กเด็กแดง หรือลูกของตัวให้เจิรญงอกงาม เป็นไม้ใหญ่ เป็นคนดีของพระศาสนา ของสังคม และของโลก ย่อมเป็นภาระที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ยอมรับที่จะแบกไว้ด้วยความเต็มใจยิ่ง ด้วยสายสัมพันธิ์ที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตา และลูกๆ อย่างเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันเป็นเช่นไรจนกว่าเวลาที่เราจะไปยืน ณ จุดนั้นเช่นท่านทั้งสองมาถึง ย่อมมิเพียงจะทำให้ท่านทั้งสองยอมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และหยาดเหงื่อ แต่ในขณะเดียวกันมันยังนำพาความปีติและความสุขใจยามได้เห็นลูกเรายืนอยู่ ณ จุดประสบความสำเร็จตามแต่ทรรศนะที่พ่อแม่มีต่อความสำเร็จนั้นๆ ผิดแผกตามตัวปัจเจกไป


เราในฐานะลูกเล็กเด็กแดงในสายตาพ่อแม่ มิใช่มิอยากไปให้ถึงความสำเร็จนั้น แต่บางครั้งนิยามของความสำเร็จที่ลูกๆ มี และนิยามความสำเร็จที่บิดามารดามีอาจต่างกันก็เป็นได้ เมื่อลูกรู้ว่าความสำเร็จที่ตนต้องการนั้นไม่สามารถเดินถนนสายเดียวกันกับคนส่วนใหญ่ที่มีนิยามความสำเร็จร่วมกันซึ่งก็รวมพ่อแม่ของตนอยู่ด้วย ลูกจึงเลือกเดินถนนสายอื่นซี่งอาจจะดีกว่าหรือไม่เข้าท่าเลยในสายตาของบุพการี ความหวังที่พ่อแม่เฝ้าคอยที่จะเห็นดอกผลแห่งการงานที่ตนเฝ้าป้อนข้าวป้อนน้ำลูกน้อยนั้นทำไมยังมาไม่ถึงซักที ลูกน้อยเมื่อจับคลื่นความคิดเช่นนี้จากพ่อแม่ของตนได้ก็ยิ่งลำบากและครั่นเนื้อครั่นใจที่ตนไม่สามารถทำให้ท่านดีใจได้เสียที


บางขณะที่ครุ่นคิดหนักเข้าจึงนำพาให้ความอวิชาเข้าสิง อ๋อท่านก็ต้องการเพียงเงินตราอยู่สุขสบาย และคำพูดต่างๆ นาๆ ที่จะได้ไปเล่าขานกับใครต่อใครว่าลูกน้อยของกูนั้นมันได้ดีแล้ว มันจะทำให้กูมีความสุขในไม่ช้า ซึ่งแน่นอนว่าลูกน้อยย่อมเข้าใจความหวังสูงตระหง่านนั่นและเห็นเป็นหน้าที่ๆ จะต้องทำให้บุพการีสุขใจสบายกายตราบที่มันไม่ขัดต่อหลักการพื้นฐานใดๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม แต่ทำไมบิดามารดรไม่เห็นหรือว่าลูกน้อยกำลังเดินฝ่าคลื่นพายุทะเลทรายเพื่อจะทำให้ท่านสุขใจที่ได้ความอยู่ดีและคำพูดเอาไปอวดเพื่อนบ้าน


การจะไปว่ากล่าวที่ท่านมีนิยามและกระบวนทรรศต่อความสำเร็จที่เป็นสูตรสำเร็จก็ไม่สมควร เพราะชีวิตครั้งยังหนุ่มสาวนั้นก็ลำบากลำบน กัดฟันสู้ชีวิตเสมอมา (ภาพฝ่ามืออรหันต์ที่ท่านทั้งสองส่งมอบให้แก่กัน  ยังคงตราตรึงในมโนภาพลูกน้อยหลายๆ คนไม่เสื่อมคลาย) และตั้งจิตหวังไว้ลึกๆ ว่าลูกน้อยของเราจะต้องได้รับการพูมฟักและไกลห่างความเจ็บปวดที่เราเคยประสบมานี้ ลูกเราต้องประสบความสำเร็จ มีหน้ามีตาและเงินทองตามนิยามที่ท่านได้จำใส่หัวใจที่เจ็บปวดครั้งกระโน้น


แล้วจะให้ลูกน้อยทำอย่างไรเล่า ในเมื่อพ่อแม่ก็ทราบดีว่าการดำเนินชีวิตในโลกนี้มันใช่ว่าจะสะดวกสบายตามใจแฮ หากแต่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และร่างแหที่คอยดักและทิ่มแทงให้เราเจ็บและล้มได้ทุกระยะการเดินทาง การจะไปให้ถึงที่หมายที่ใฝ่ปองไม่ว่าจะทั้งที่วางอยู่บนนิยามของลูกน้อยเองหรือของบิดามารดรเองนั้นไซร้ก็ใช่จะหาเจอในวันสองวัน มิหนำซ้ำหากอุปนิสัยของลูกน้อยที่พ่อแม่คอยฟูมฟักไปด้วยกันไม่ได้กับกระแสหลากไหลตามสังคม ก็ยิ่งเพิ่มความลำเข็ญ, ระยะทาง, และระยะเวลาที่จะไปให้ถึงจุดปลายเข้าไปอีก


จึงอยากจะให้ท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งหลายเห็นใจความเป็นตัวตนของลูกน้อยบ้าง ให้เขาได้ปรับตัวและปรับเส้นทางประสบความสำเร็จตามนิยามที่เขายึดถือเถิอดแม้มันจะใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ ซักวันหนึ่งลูกน้อยย่อมจะพบกับเส้นทางที่ตนเองกำลังขวนขวายและค้นหาเอง


และใคร่จะให้ท่านบิดากับมารดาแน่ใจได้เลยว่า แรงงาน แรงกาย แรงใจ ที่ทุ่มเทใสปุ๋ยรดน้ำให้ลูกน้อยนั้นไม่มีวันเสียเปล่า หรือให้ท่านเหนื่อยฟรี เฉกเช่นประสบการณ์ก่อนกาลที่ท่านเคยประสบมาแน่นอน


สัญญา

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

การเดินทางของเวลา และบันทึก

เป็นหนังสื่อที่น่าอ่านทีเดียวสำหรับ "follow your heart, ก้าวไปตามใจฝัน" เป็นหนังสือพิมพ์นานแล้วของสำนักพิมพ์ ซีเอ็ด ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ นู้น อ่านแล้วรู้สึกดี มันก็เหมือนงานเขียนของผู้เขียนคนอื่นๆ ที่เขียนด้วยความจริงใจและตั้งมั่นเพื่อประโยชน์สุขของผู้อ่าน ซึ่งคนอ่านเขาก็ย่อมรับรู้ได้ว่าเป็นหนังสือหวังทำเงินหรือเพื่อช่วยเหลือและยกระดับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันไม่ใช่หนังสือ how to หรอกนะแต่มันเป็นหนังสือที่สนับสนุนการค้นหาตัวเอง


เช่นที่ผู้เขียนๆ ไว้นั่นเองว่า เมื่อเรามุ่งมั่นสู่สิ่งใดทันใดนั้นมันก็เหมือนว่าเราอยู่ถูกที่ถูกเวลา ไม่ว่าผู้คน, สิ่งของ, และแวดล้อม ต่างก็ช่วยเกื้อหนุนให้เราไปถึงจุดหมาย (ส่วนใหญ่อะนะ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่ของข้าพเจ้า เป็นของญาติผู้พี่เขา ซึ่งก็ประจวบเหมาะที่ข้าพเจ้ากำลังคลำและล้มลุกคลุกคลานกับการค้นหาตนเองด้วยเช่นกัน อ่านแล้วสงบดี


การเดินทางของเวลาที่เรารู้สึกเนิบนาบในชั่วโมงที่เราต้องการเร่งมันให้ทะลุเข็มบอกระยะทางนั้น มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย คล้ายๆ สำนวนอาหรับที่ว่า "เฮ้ย เจ้าที่กำลังเร่งรีบอยู่นะ หยุดซักครู่ซิฉันจะบอกอะไร" ก็จะมาบอกอะไรเล่าคนเค้ากำลังรีบ ก็นั่นไงยิ่งเรารีบมันก็ยิ่งมีข้าวของ ผู้คน เข้ามาทำให้เราสะดุดยิ่งช้าเข้าไปอีก แต่ทำไงได้เล่าเราไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว เราอยากให้ไปถึงจุดหมายและฝั่งฝันให้เร็วที่สุดเท่าที่ความนึกคิดของเราจะพาไปได้ เรารู้สึกว่าเราเสียเวลามามากแล้ว และปัจจัยต่างๆ ก็บีบอัดเข้ามาทุกที เราจำเป็นต้องทำให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว แต่เปล่าเลยยิ่งเร็วมันยิ่งช้า ยิ่งสับสน ยิ่งจับจน จับต้นชนปลายไม่ถูก สุดท้ายในความเร่งรีบก็เป็นความสูญเปล่า ที่รู้สึกว่าเร่งรีบจนทำอะไรไม่ถูก


หรือจะดีกว่าที่จะทำเรื่อยๆ เพราะทุกสิ่งมันย่อมมีครรลองของมันเอง ไข่มันจะยังไม่ฟัก จะไปเร่งแม่ไก่ให้กกไข่ทั้งวี่วันได้อย่างไร ทำในสิ่งที่เราควรทำแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น จะช้าจะเร็วมันถูกกำหนดมาก่อนหน้าแล้ว และเราก็มายืนอยู่ ณ จุดที่ถูกกำหนดแล้วเช่นกัน อยากจะวิ่งเร็วแค่ไหนก็ได้เท่านี้แหละ การกำหนดจิตเช่นนี้เป็นความยากลำบากยิ่ง เพราะใจมันร้อนอยากจะสำเร็จ แต่ต้องมาควบคุมให้มันเย็นและค่อยๆ เดินเพื่อให้ไปถึงจุดหมายอย่างมั่นคงและถูกต้อง เพราะเราเองก็ทราบว่าความมุ่งมั่นที่มั่นคงนั้นนำไปสู่ความสำเร็จที่สงบเย็นและน่าภูมิใจปานใด แต่ก็นั่นแหละใจมันต้องฝืนหลายอย่าง


ทำอะไรที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ แล้วก็ปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลองกำหนดชัด ไม่ต้องไปเร่งรีบทั้งจิตใจและร่างกายให้ตะเกียกตะกายไปถึงจุดมุ่งหวังดั่งใจติดจรวดหรอก ดินประสิวมันจะจุดไฟไม่ติดเสียเปล่าๆ ปล่อยมันเรื่อยๆ แต่ทำให้ดีที่สุด สุดท้ายมันจะไปถึงของมันเอง


บันทึกของเราบางครั้งอ่านแล้วงง เพราะเป็นการบันทึกที่พยายามอุปมาอุปไมยสื่อถึงสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ยอมเผยข้อเท็จจริงโล่งแจ้ง จนบางครั้งเราเองก็รู้สึกว่าข้อความที่เขียนนั้นมันเหมือนจุกขวดน้ำอัดลมที่ถูกเขย่าขวด แต่ไม่ยอมเปิดจุกให้น้ำไหลออกมาซักที อยากจะเขียนให้โล่งโจ่ง แต่ไม่ควร จึงเหมือนเขียนอะไรไม่หมด ติดอยู่ที่จุกหัวใจนั่นปะไร แต่ไม่เป็นไรมันเป็นแนวการเขียนของเรามานมนานแล้ว ที่ข้องใจตัวเองอยู่นิดนึงว่า แล้วหากกลับมาอ่านรอบใหม่ในภายภาคหน้าจะยังคงสัมผัสถึงเนื้อแท้ที่ต้องการสื่อหรือเปล่า หรือจะลืมไหลไปตามกาลเวลา


ก็คอยดูกัน

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์

ข้าพเจ้าไปเจอประโยค "จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์" มาจาก ห้างอิมพีเรียลสำโรง เห็นแล้วมันพุ่งเข้าตรงจิตของข้าพเจ้า เลยต้องเขียนบันทึกไว้ในบล็อคจิตบันทึกนี้ไว้ซักหน่อย ซึ่งไอ้ชื่อบล็อกนี้ก็ได้มาจากประโยคข้างต้นนั่นแหละ

ไปเยี่ยมน้าที่อยู่แถวสำโรง ขากลับก็เลยแวะเข้าห้างอิมเรียล เห็นเค้าตั้งโต๊ะขายเสื้อสีขาวก็เลยเข้าไปดู โอ้โหเห็นปุ๊บมันถูกจริตข้าพเจ้าปั๊บเลย เป็นประมาณเสื้อสกรีน ธรรมมะธรรมโม ครอบสุขสรรค์อะไรประมาณนั้น เสื้อก็ออกแบบได้ไม่ตกสมัย เลือกอยู่นานว่าจะเอารูปหรือจะเอาประโยคดี สุดท้ายก็ได้เสื้อมาตัวนึงประทับประโยคด้วย "จิตสะอาด ใจบริสุทธิ์" จวบจนวันนี้ประโยคนี้ก็บันทึกอยู่ในความนึกคิดของข้าพเจ้าเสมอมา

มันคงดีไม่น้อยที่ทุกวี่วันของเราเต็มไปด้วย จิตสะอาด และใจบริสุทธิ์ เพราะสมองเราจะได้สงบ และว่างเปล่าไม่คิดบ้าคิดบออะไรไปเรื่อยอย่างไม่สงสารตัวเอง เพราะสุดท้ายก็พบว่าตัวเองนั้นเหนื่อยกับความคิดไม่ว่างนี่เหลือเกิน 

เมื่อจิตสะอาด ใจบริสุทธิ์ ความคิดความอ่านของเราก็ย่อมต้องใสกิ๊ง เพราะไม่มีสิ่งใดแปลกปลอมเข้ามาทำให้ใจเราขุ่น เมื่อนั้นสมองเราก็สะอาด พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ คิดได้ดีไม่จับจดอย่างไม่มีแบบแผน

เมื่อจิตสะอาด ใจบริสุทธิ์ คนเราก็ย่อมจะต้องคิดดีทำดีได้อย่างสบายใจและสงบเย็นที่สุด โดยไม่ทุกข์ร้อนไปอาฆาตมาดร้ายใคร

และหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นที่ใจขุ่นวัน เพราะมัวแต่จะสะสางล้างแค้น อันจะนำพาให้ประเทศล่มจมก็มิได้สนใจใยดีอัน จะได้มี จิตสะอาด และใจบริสุทธิ์ ได้ในที่สุด 

ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอใช้จิตเพื่อบันทึกเป็นอนุสรบันทึกแก่ตนเองและเพื่อนร่วมชาติ เพราะอยากให้คนในประเทศนี้มีลักษณะดังประโยคข้างต้นประดับประดา จิตและใจของตนเอง

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

การชุมนุมของคนเสื้อหลายสี

เย็นวันนี้ข้าพเจ้าพยายามดั้นด้นออกไปข้างนอกทั้งที่อากาศกรุงเทพร้อนระอุเหลือเกิน ด้วยความตั้งใจที่จะไปร่วมสำแดงพลังความไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเหล่าพี่น้องเสื้อแดง เขาน่าจะได้รู้ว่าคนหมู่มากนั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำย่ำยีความสงบสุขของบ้านเมืองเรา เขาเหล่านั้นอาจจะปฏิเสธว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นมิได้มาจากน้ำมือของเขา แต่ทำไมความคิดแรกที่คนทั่วไปคิดคือ ต้องเป็นฝีมือคนพวกนั้นแน่ๆ เลย ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆ คือไม่เห็นด้วยกับการไปตั้งฐานชุมนุมที่ราชประสงค์ เมื่อใดที่การกระทำของเราทำให้ผู้อื่นเขาเดือดร้อน แน่นอนว่านั่นย่อมบ่งบอกถึงความไม่ชอบธรรมที่เรายึดมั่นถือมั่นอยู่า


การไปชุมนุมเย็นนี้คนเขามากันเยอะนะ ถือธงไทยมากันคนละอัน โบกกันไปโบกกันมา ดูเขาจะสามัคคีกันเหลือเกิน คนเยอะขนาดนี้เขาไม่ได้นัดหมายความสามัคคีกันหรอก แต่เขารู้สึกถึงว่าเราจะต้องมาแสดงความสามัคคีให้คนที่เป็นปฏิปักกับชาติได้รู้และเห็นว่ายังมีกลุ่มคนที่รับไม่ได้กับความอธรรมที่คนบางคนประกอบกิจอยู่


ไม่นึกว่าตนเองจะได้มีโอกาสมาเป็นส่วนหนึ่งของหน้าการเมืองประเทศตนเอง คือรู้สึกอยู่คนเดียวนะ เพราะเราก็อยู่ตั้งไกล แต่ประจวบเหมาะช่วงนี้อยู่เมืองหลวงก็เลยอยากจะเห็นบรรยากาศว่าที่เขาชุมนุมกันนะมันเป็นยังงัย และมันก็อึดอัดอยู่นานสองนานแล้วกับการไม่เคลื่อนตัวซักทีของบ้านเมือง เลยอยากจะออกไปเห็นว่าคนที่เขารู้สึกเหมือนเรามันมีเยอะไหม เยอะใช้ได้เลยนะ


แต่พรุ่งนี้ไม่ไปแล้ว เปลืองเงิน และปวดหัวมากเวลานั่งรถไปมา แออัด อบอ้าว ร้อนเหลือทน


ราตรีสวัสดิ์

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ประเทศของข้าพเจ้า

ขณะนี้เป็นเวลา ๒๒.๒๐ น. ของวันที่ ๒๒.๔.๒๐๑๐ ข้าพเจ้ากำลังอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร
มีการยิงอาวุธสงครามเข้าไปใน สถานีรถไฟฟ้าสีลม ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เฮ้ยนี่มันเมืองหลวงนะ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้งัยว่ะ


ขณะนี้ข้าพเจ้าเกิดอาการติดตามข่าวสารอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ด้วยข่าวคราวที่ออกมานั้นสร้างความกังวลใจแก่ประชาชนของประเทศนี้เป็นอย่างหนัก และข้าพเจ้าก็เชื่อแน่ว่าคงมิใช่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอย่างนี้ ความรู้สึกกังวล เป็นห่วง หวาดกลัว กับความไม่แน่ไม่นอนของบ้านเมืองยามนี้คงได้แพร่กระจายเข้าสู่หัวใจและความนึกคิดของประชาชนหมู่มากโดยเฉพาะผู้ที่รักและต้องการให้บ้านเมืองกลับมาสงบอย่างบริสุทธิ์ใจทุกผู้ทุกนาม


แต่ก่อนนั้นเราเป็นกังวลต่อสังคมของบ้านเมืองที่นับวันจะเหลวแหลกและเละเทะ ข่าวการล่วงประเวณี หรือแม้แต่การยินยอมของหญิงสาวเอง การขาดจริยธรรมและการยึดติดในวัตถุของคนในสังคม ปัญหาเด็ก ปัญหาครอบครัว ปัญหายาเสพติด เรานำมันมาวิพากษ์วิจารณ์หาสาเหตุและหาทางออก แต่มาวันนี้เรากลับต้องประสบปัญหาพื้นฐานหลักที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง ปัญหาความสงบเรียบร้อย และการจัดระเบียบสังคม หากแก้ปัญหาพื้นฐานหลักนี้ไม่สำเร็จละก้อ ปัญหาอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงกัน เพราะหากบ้านเมืองแตกร้าวไม่ปลอดภัย อะไรเลยจะสำคัญไปกว่าความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนในประเทศเล่า


ไม่อยากคิดเลยว่าหากเหตุการณ์ยังคงไม่สงบต่อไป บ้านเมืองเราจะเป็นเช่นไร จะแตกเป็นเสี่ยงๆ อย่างที่มีบางคนทำนายไว้หรือไม่ (ซึ่งขณะที่ฟังครานั้นก็อดขำไม่ได้) แต่ดูเหตุการณ์ขณะนี้สิ มีการป่วนบ้านป่วนเมือง มุ่งทำลายสาธารณูปโภค มีความอาฆาตมาดร้าย ที่เชียงใหม่นั้นมีการติดประกาศอย่างโจ่งแจ้งเสียด้วยว่าจะทำลายความสงบสุขของเมืองหากพวกของตนถูกกำราบขึ้นมา ที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง ผ่านมา ๓ ปีเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น นี่อำนาจรัฐของประเทศนี้มันง่อยเปลี้ยถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงขนาดว่าแม้จะรักษาความสงบสุขและอธิปไตยของบ้านเมืองก็ยังต้องทำงานกันขนานหนัก


ในสภาวะการณ์เช่นนี้คงจะหวังพึ่งใครไม่ได้แล้วนอกจากพระผู้เป็นเจ้าและตัวของเราเอง ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างสูงแม้จะเป็นความหวังที่นั่งหวังอยู่ที่บ้านคนเดียว ว่า ผู้มีจิตบริสุทธิ์ที่ต้องการความสงบสุขของบ้านเมืองกลับมาจะลุกขึ้นและร่วมมือกันเสียที การจะหวังอำนาจรัฐที่จะทำอะไรก็คิดเพียงว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเสียผลประโยชน์หรือไม่หากกระทำการใดลงไปนั้น มีหวังบ้านเมืองเราต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียก่อน ข้าพเจ้านั้นแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศและอำนาจรัฐก็กีดกันเราทางอ้อมใน หลายๆ ด้านเสมอมา แต่เมื่อเห็นว่าความล่มสลายกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ก็ให้หวั่นเกรงไม่น้อย นี่เราจะต้องกลายเป็นคนของประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดในภูมิภาคนี้ในภายภาคหน้าหรือ เราจะต้องมาเป็นสักขีพยานต่อการเข่นฆ่าของประชาชนด้วยกันเองหรือ และอีกหลายๆ ความกังวลที่ระบายออกมาเป็นตัวอักษรไม่ถูกในขณะนี้ มันเป็นเฉกเช่นความรู้สึกเมื่อได้รับรู้ข่าวสารการก่อความไม่สงบและรัฐใช้อำนาจปราบพี่น้องร่วมผืนแผ่นดินกับข้าพเจ้าครานั้นเกือบ ๑๐๐ ชีวิต ไม่มีผิด มันเป็นความรู้สึกที่อัดแน่นและหดหู่อย่างสุดแสน ความคิดจินตนาการไปไหนต่อไหน


นี่คนเพียงคนเดียวสามารถวางแผนและก่อการให้ประประเทศทั้งประเทศที่มีประชากรถึง ๖๕ ล้านคนเกิดความปั่นป่วนและเห็นความล่มจมรำไรได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไม่รู้ว่าความผิดที่เขาได้กระทำในหนนี้ทั้งในทรรศนะคติของชาวพุทธเองหรืออิสลามเช่นข้าพเจ้าคงจินตนาการไม่ออกว่าเขาจะมีบาปติดตัวไปมากเพียงไร ลำพังความผิดปัจเจกชนที่เราล่วงกระทำผิดอยู่ทุกวี่วันก็มากพออยู่แล้ว นี่กล้ากระทำและล่วงล้ำสร้างความเดือดร้อนให้คนทั้งประเทศเลยหรือ แล้วพระผู้เป็นเจ้าท่านจะว่าอย่างไร


ท้ายนี้หวังว่าประเทศนี้ซึ่งก็คือตัวประชาชนเอง จะสามารถก้าวผ่านอัตวิบัติในหนนี้และสามารถสร้างสรรค์ประเทศขึ้นมาใหม่ได้ในไม่ช้า ดินแห้งและพืชแล้งยามที่ถูกไฟป่าแผดเผานั้น ยามไฟลามเลียมันดูน่ากลัว เศร้าสร้อย และไร้ซึ่งความหวัง เมื่อไฟดับแม้จะเห็นแต่ความแห้งแล้งดำเป็นตอตะโกไปหมด แต่เมื่อวัสสาระฤดูมาเยือน เราจะพบว่าบนหน้าผืนดินผืนเดิมนั้นจะเต็มไปด้วยต้นกล้าแทงยอดอ่อนเขียวขจีให้ชื่นใจจนยิ้มกันแทบไม่ทัน ซึ่งมันจะเติบใหญ่ต้านแรงลม แดดเผา และพายุฝนได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเพราะมันได้ก้าวผ่านความสาหัสมาแล้วนั่นเอง และหวังว่าวัสสานะฤดูจะมาเยือนประเทศเราในอีกไม่ช้า

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

เงินออนไลน์

สลาม


ตอนนี้กำลังขมักเขม้น หน้าดำคร่ำเครียดศึกษาวิธีทำเงินออนไลน์ ทีแรกก็ไม่เคยสนหรอกนะไอ้งานพวกนี้ เพราะรู้สึกเหมือนมันให้ไม่จริง แต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนใช้เน็ตบ่อยมาก จนบางครั้งนั่งหมกมุ่นอยู่หน้าเน็ตทั้งวันเลย


มีอยู่วันนึ่ง (ขอเล่านิดนึง) ก็เดินทางในโลกอินเตอร์เน็ตเหมือนทุกๆ ครั้ง เซิรช์หาในพี่กูแกไปเรื่อยตามประสา ไปสะดุดตากับหัวข้อๆ นึง เขาเขียนว่า "รายได้ขำๆ" ไอ้เรายิ่งเป็นคนขาดรายได้อยู่ ก็ลองคลิกเข้าไปดู เจ้าของเว็บนั้นเขาเขียนไว้ประมาณนี้ จำไม่ค่อยได้แล้ว คือว่า เขาจดโดเมนและเช่าโฮสต์และทำเว็บทิ้งไว้ โดยที่เอา แอดเซ้นซ์พี่กู (เกิ้ล) ไปลง ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นหลายเดือนโดยที่ไม่ได้เข้าไปอัฟเดทหรือติดตามข่าวสารของเจ้าเว็บนั้นเลย จนวันที่เขาเปิดมาดูไหมและเข้าไปเช็คยอดเงินในแอคเค้าต์ของเขา พบว่ามีเงินเข้ามาด้วย ก็เลยเอามาลงไว้ในเว็บขำๆ บอกให้คนอื่นรู้


ข้าพเจ้าก็เอะใจ มันมีอยู่ด้วยหรืองานอย่างนี้ทำแล้วทิ้งแถมยังได้ตังค์อีก ก็ลุยหาอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน (ตกงานอยู่ช่วงนี้) จนสุดท้ายก็มาพบว่ามันได้เงินจริง แต่ก็มิได้ง่ายขนาดนั้น มันมีวิธีการและช่องทางของมัน ซึ่งหากคนที่อยากทำงานนี้ก็ต้องศึกษาเอาเอง


สำหรับข้าพเจ้าหาไปหามา อ่านนั่นบ้างอ่านนี่หน่อย ชักจะเริ่มงงเอามากๆ คือมันเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เรื่องมาก่อนเลย มีศัพท์แสงที่เขาใช้กันต้องมานั่งหากันทีละตัว ว่ามันแปลว่าอะไร ยังงัย หาข้อมูลมาได้เกือบสองอาทิตย์ก็พอจะรู้เรื่องกะเค้าบ้างละเรา


คอยดูเตอะวันไหนมีรายได้เข้ามาจะเอาประจานในบล็อกนี้ให้โลกได้ประจักในความมุ่งมั่นและวิริยะของข้า 555.......................


และนี่ก็คือเองเหตุผลหนึ่งที่เริ่มเข้ามาทำบล็อกอย่างจริงจัง จากแต่ก่อนที่ไม่ชอบบล็อกเอาเสียเลย เรามันคนจำพวกชอบเก็บตัว ไม่อยากเอาตัวเองมาใส่บล็อก แต่วันนี้ได้กระทำการที่ขัดกับหลักการอันนั้นไปเสียแล้ว


เฮ้อ...หลักการมันมายาแต่ข้าวปลามันของจริงโว้ย


ไปละ

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

ทุกช่วงรอยต่อชีวิต

PG Faruq 2.7
10/5/09
สุขสวัสดิ์ชีวิต 

เหลือเวลาอีกแค่เดือนเศษ แล้วข้าพเจ้าจำทำอย่างไรดีกับเส้นทางที่ไม่ใช่นักศึกษาขายแรงงานยูไอเออีกต่อไป

ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงวิถีที่เราถือเป็นครรลองดำเนินชีวิตมาตลอดระยะเวลา ๔ ปี มานี้ มันจะนำพามาทั้งความกลัว, สับสน, อยากคงไว้ซึ่งความปลอดภัย ณ ตรงนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ตะหนักอีกเช่นกันว่า การเปลี่ยนแปลงอันนี้ไม่ช้าก็เร็วมันต้องมาเยือนอย่างแน่นอน และแล้วมันก็มาถึง

หากจะผิดก็คงผิดที่ตัวข้าพเจ้าเพียงผู้เดียวที่ไม่คิดและไม่เคยอยากจะเตรียมตัวรับความเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าคิดเอาเองว่าตนเองนั้นเป็นคนจำพวกศิลปินไส้แห้งที่ไร้ความคิดรอบคอบ จะมีก็เพียงการตระหนักรู้ ตระหนักรู้ว่ามันมีอยู่ แต่แล้วก็เลยตามเลย แล้วแต่มันจะพาข้าพเจ้าแห่งหนใด

มิน่าเล่าข้าพเจ้าถึงกลัวการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เหลือเกิน ๑) เพราะไม่รู้อนาคต และไม่เคยจะกะเกณฑ์ให้ตนเองได้พอมองออกบ้างว่ามุ่งสู่ทิศทางใด ๒) ข้าพเจ้าไม่อยากคิดหาทางออกเพื่อวางตำแหน่งของตนเองให้ได้อย่างที่ตนเองรวมถึงคนรอบข้างต้องการ ๓) จะต้องสูญเสียความปลอดภัยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น งานประทังชีวิต, ที่อยู่อาศัยที่ชอบมาก, กิจกรรมยามเย็น, และมิตรสหาย

ข้าพเจ้าได้แต่เงียบเชียบ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อวิถีอันไม่แน่ไม่นอนและมีความเสี่ยงสูง เหตุผลเพราะข้าพเจ้าไม่อยากรับรู้นั่นเอง ก็อย่างที่ข้าพเจ้าทำมาตลอดอายุไขจวบจนปัจจุบัน มีอะไรก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่หัวใจระบม

salindongbayu

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

การงานพื้นฐานอาชีพ

งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข.......อ๋องั้นหรือ?


เหนื่อยป่าวกับการทำงาน ข้าพเจ้าว่าเหนื่อยนะ 
เมื่อกี้นั่งแปลเอกสารอยู่พักใหญ่ (ดูท่าข้าพเจ้าจะไปได้ด้วยกันดีกับการหากินทางภาษา) แปลเสร็จ โอ้ยทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้ งานแปลงานล่ามนี่เหนื่อยนะจะบอกให้ มันเพลียสมอง แรงนะเก็บไว้ทำอย่างอื่น ยิ่งแปลภาษาไหนที่ไม่ค่อยถนัด เหนื่อยเป็นหลายเท่าเลย ต้องค้นนั่นค้นนี่ ดีนะสมัยนี้มีเน็ตใช้ก็เลยทุ่นแรงไปได้เยอะ บางครั้งเวลานั่งแปลรู้สึกเหมือนตัวเองเอาช้อนไปขูดสมองตัวเองยังไงยังงั้นเลย ก็พยายามคั้น, ขูด, และบิดสมองตัวเอง (เหมือนบิดผ้านะ) ในสิ่งที่อยากแปลแต่แปลไม่ออกสักที เฮ้อเขียนแล้วให้เหนื่อยอีกรอบ


ก็เลยเดินไปที่หน้าต่างสูดอากาศหน่อย ทั้งๆ ที่มันเจือปนด้วยมลพิษในอัตราที่สูง อยู่เมืองหลวงก็งี้แหละ ไหนเลยจะเหมือนบ้านนอกคอกนา อากาศนี่ใสกิ๊งเลยนะ เออมาว่ากันต่อ เดินไปสูดอากาศที่หน้าต่างแลเห็นชาวต่างจังหวัด (เหมือนตูเลย) มาขายแรงงาน ทำงานก่อสร้าง ขนดิน ขนทราย ผสมปูน ตากแดด สาระพัดสาระพัน ที่เรารู้สึกว่าเขาเหนือยกว่าเรา 


กลับมาที่ความคิดข้าพเจ้าเรื่องงานดีกว่า อันที่จริงข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อหรือศรัทธาสักเท่าไหร่กับเรื่องชีวิตต้องสู้งานนัก เขาชอบพูดกันนักว่ามีงานไหนบ้างที่ทำแล้วไม่เหนื่อย งานนะมันก็เหนื่อยทุกงานเป็นทำมะดา ไม่รู้ซิในความรู้สึกลึกๆ ของข้าพเจ้านั้นเหมือนมันกำลังบอกว่า ต้องมีซิงานไม่หนัก ไม่เหนื่อย และยังทำให้ชีวิตเราอยู่ได้โดยไม่ขัดสน มันต้องมีแน่นอน มันแค่รอเราไปหามันแค่นั้นเอง 


อย่า อย่า อย่า เข้าใจข้าพเจ้าผิด ว่าอ๋อก็มึงนะพวกขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอา เบาไม่สู้ อยากได้เงินแต่ขี้เกียจทำงาน แต่เปล่าเลยนะพี่น้อง ข้าพเจ้านี่เคยลองงานมาแล้วหลายชนิด ขนของหลังแทบหัก เป็นเด็กล้างจานเสริฟข้าวเสริฟน้ำ งานบริการ งานยืนให้เขาด่า เอาเป็นว่างานหนักข้าพเจ้าลองมาแล้วช่วงที่เรียนอยู่นะ ก็เลยรู้สึกว่าเอะนี่เราต้องเสียสละตัวเองขนาดนี้เพื่อหารายได้เลยหรือ เราต้องยอมตื่นแต่เช้าโดยไม่สมัครใจเพื่อไปทำงานรับเงินเดือนเลยหรือ เราต้องยอมทนหลายๆ อย่างเพื่อหารายได้เลยหรือ ดังนั้นมันจึงเป็นปณิธารของข้าพเจ้าเลยว่าและจะฝังมันลงในหัวใจด้วยว่า ข้าพเจ้าจะทำงานไม่หนัก ไม่ต้องอดทน ไม่ต้องบังคับตนเอง และไม่เครียด และต้องมีรายได้อยู่อย่างไม่ขัดสนด้วย แล้วงานอะไรล่ะสบายอย่างมึงว่านะ คำตอบคือ........................................ตูก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮา...........แต่ข้าพเจ้าเชื่ออย่างนึงว่า หากใจเราบอกว่ามี สักวันหนึ่งเราก็จะหามันเจอเอง 


แม้ตอนนี้เพื่อนๆ เราจะเดินทิ้งห่างเราไปไกลแล้ว เขาได้งานได้การเสร็จสรรพบริบูรณ์ครบสูตรสำเร็จรูป ออกมาเป็นแพ็คๆ เลย ตื่นเช้า แต่งตัว เดินทาง (หาวไปพลางๆ)  ทำงาน (เบื่อไปด้วย) เดินทางกลับ (เหนื่อย, เพลีย) ถึงบ้านทำอะไรนิดหน่อย กินข้าว แล้วก็นอนเพื่อรอไปทำงานพรุ่งนี้ต่อ อ๋อลืมบอกไปนิดนึง ในหนึ่งอาทิตย์เขารอวันศุกร์ให้มาถึง ในหนึงเดือนเขารอวันสิ้นเดือนมาถึง ในหนึ่งปีเขารอวันหยุดยาวที่เฝ้าเก็บหอมรอมริบไม่ลาไม่ป่วยเพื่อจะได้หยุดยาว 


ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี ถ้าชอบมันก็ดีอยู่แล้ว ที่บอกมาก็เพียงอยากบอกว่าโดยส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ชอบมันก็แค่นั้นเอง (แต่โบราณว่าไม่ชอบอะไรจะได้สิ่งนั้นนะ) โอ้ยกลัวตายละ 


การเลือกสูตรสำเร็จมันก็ดีอย่างนะ คือไม่ต้องมาเสี่ยงตายเช่นข้าพเจ้า เสี่ยงทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำเนี่ยมันเหนื่อยนะ แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าหากเราทำมันสำเร็จมันคงเป็นความภาคภูมิใจในระดับมหาศาลทีเดียว คงจะดีใจประมาณเสียวสันหลัง ประมาณว่าเรามาถึงได้ยังงัยเมื่อมองดูผาสูงที่เราปีนป่ายแต่คนอื่นเขาไม่ปีนกัน (กำลังจินตนาการอยู่ 555)


สรุปคือทางใครก็ทางมัน แล้วเราค่อยมาเจอกันที่จุดหมาย พี่น้องว่างัยครับ 



วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ทะ แหลง การ (หน่อยนึง)

เนื้อหาบล็อกนี้จะเข้าข่ายรันทดไปนึดนึง แต่ก็อย่างว่าอ่ะนะมันเป็นบันทึกของเจ้าของบันทึก เค้าก็อย่างบันทึกเฉพาะที่เขาอย่างจะบันทึก, รู้สึก, และรับรู้ขณะที่ลงบันทึกในสมุดคู่กายโดยใช้ปากกาคู่ใจ


ท่านผู้อ่านที่ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้เข้ามาอ่านหรือบังเอิญเข้ามาอ่าน ก็กรุณาเก็บเอาเฉพาะส่วนที่ท่านรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับการดำเนินชีวิตของท่าน ส่วนที่เหลือทิ้งไว้นี่เหอะ อย่าได้นำไปด้วยเลยหนักสมองป่าวๆ


แค่นี้ละง่วงละคืนนี้


หลับสนุกตื่นสดชื่่นกันนะผู้อ่าน

รถไฟฟ้ามาแล้วค้าป

๓๐.๑๐.๒๐๐๖
๒๔.๐๐
Villa


รถไฟฟ้า


ดูเหมือนในชีวิตจริงมนุษย์เช่นตัวละครตัวนั้นหรือแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองต้องการปฏิหารมาช่วยดลบันดาลดให้อะไรต่อมิอะไรลงล็อคอย่างที่ปราถนา ข้าพเจ้ามิได้ต้องการอะไรที่มันสูงเทียมฟ้า ข้าพเจ้าต้องการแค่ Basic needs (นิดซ์นึงนะเดี๋ยวเขาจะไม่รู้ว่าอันตัวเรานี้ฟุตฟิดฟอไฟกะเค้าเป็นเหมือนกัน) ธรรมดาๆ แต่เอื้อมไปไม่ถึงซักที อยากแค่เดินไปเรื่อยๆ แล้วมันก็เจอในสิ่งที่เราต้องการ หรือแค่รอแล้วมันก็มาถึงเอง (อะไรจะขี้เกียจปานนั้นกู) 


ปฏิหารของพระองค์จะทรงดลบันดาลให้ปัญหาซ้อนทับของข้าพเจ้าปลิดหายไปเมื่อไหร่หรือ? ข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกเจ็ก ลูกจีน แต่ข้าพเจ้าก็สู้และดิ้นรนด้วยตนเองเสมอมา หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว ข้าพระองค์ย่อมไม่ร้องเรียกปฏิหารจากพระองค์ นั่นไม่ใช่ความหยิ่งผยองแต่อย่างใด หากแต่มันคือวิถีแห่งโลกความเป็นจริง


เธอบอกว่าเธอกินข้าวคนเดียวมา ๒ เดือนแล้ว แล้วในโลกนี้ยังมีหญิงสาวอีกตั้งไม่รู้เท่าไหร่ที่ต้องทนความเปลี่ยวเหงากินข้าวคนเดียวมามากกว่า ๒ ปี 


ยังดีหน่อยที่เราอยู่ในฐานะผู้เลือกไม่ใช่ถูกเลือก ข้าพเจ้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจเหล่าผู้รอถูกเลือกเหล่านั้นเป็นอันมาก จะต้องทนกินมาม่าไปอีกนานหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้


ชีวิตหนึ่งชีวิตแม้จะมีวิถีทางและสถานะหลายด้านบรรจบเป็นหนึ่งชีวิตนั้น แต่วิธีการเผชิญปัญหาย่อมสะท้อนจากหลักการอันเดียวที่ยึดมั่นเป็นครรลองของตนเอง ในเมื่อจวบจนปัจจุบันนี้ปี ๒๐๐๙ ข้าพเจ้าเดินทางเผชิญปัญหาด้วยแนวทางไม่รู้ไม่ชี้ เดินไปเรื่อยๆ ด้วยหวังว่ามันจะบรรจบเจอทางออกที่ perfect ที่สุดตามที่พระองค์จะดลบันดาลให้กับชีวิต ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นปัญหาทับซ้อนหลายมิติ ที่เป็นอีกมิติหนึ่งของชีวิตข้าพเจ้า ย่อมจะถูกแก้ไขและผลักดันโดยแนวทางเรื่อยๆ และรอคอยปฏิหารเช่นกัน ซึ่งก็ไม่รู้จะอีกนานมากแค่ไหน


แน่นอนข้าพเจ้ากินมาม่ามามากกว่า ๒ ปี แต่ไฉนเลยข้าพเจ้าถึงเดินไปเรื่อยๆ เพื่อรอปฏิหารก็ไม่ทราบได้ รู้สึกยอมจำนนมานานมาก


ข้าพเจ้าไม่ชอบกินมาม่าหรอก แต่หากมันจะนำมาซึ่งปฏิหารรถไฟฟ้ามาบ้าง ข้าพเจ้าจะทำใจกินไปอีกซักระยะ


ปล. ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องก็ลองไปดูหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหาเธอนะมาก่อนนะ
ปล. ไอ้ที่แดงๆ เอาไว้เป็นประโยคที่เขียนเพิ่มเติมขณะที่เอาบันทึกมาลงบล็อก บันทึกต้นฉบับไม่มีประโยคเอาใจคนดูอยากนี้หรอก



ปัญหาหัวใจ (ภาคให้คำปรึกษา)

ต่อครับ...ข้าพเจ้าตอบไปดังนี้........


สลาม

ขอพระองค์จงชี้แนวทางให้ปวงบ่าวด้วย

อืม...โรคนี้ไม่รู้ใครๆ เขาเป็นกันหรือเปล่านะ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นโรคประจำตัวของเรา

ขั่นแรกส้ม (ชื่อสมมุติละกัน เพราะข้าพเจ้าชอบกินส้ม) ก็ต้องขอดุอาอฺ ก็รู้อยู่แล้วนะว่าดุอาอฺมั
นสำคัญอย่างไรคงไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอวดภูมิกันอีก ที่อยากจะเน้นย้ำตรงนี้คือการขอดุอาอฺให้หายขาดจากโรคนี้คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ (ในความคิดของเรา) แต่ที่ดุอาอฺนั้นก็เพื่อให้มันทุเลาลงเพียงเท่านั้น และเมื่อมันทุเลาลงแล้วมันก็จะกำเริบขึ้นมาอีกนั่นเองที่เราบอกว่าการจะขอดุอาอฺให้หายขาดนั้นคงยาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความปรีชาญานของพระองค์มันอยู่เหนือขอบเขตที่เราจะไปจำกัดได้ว่าอันนั้นได้อันนี้ไม่ได้

ทีนี้ก็มาดูอาการและลักษณะรวมๆ ของโรคนี้กัน (ยังกะผู้เชี่ยวชาญเลยนะเรา
)

๑. เบื่อๆๆๆๆๆ มันเบื่อไปหมดไม่รู้จะทำยั
งไงให้มันหายเบื่อดี บางทีคิดว่าหากเราได้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ หรือได้ไปเที่ยวรอบโลก หรือเปลี่ยนงานใหม่ หรือมีคนรัก หรือมีรถ มันคงหายเบื่อ แต่หากเป็นคนชนิดที่มิได้ยึดติดกับสิ่งปลูกสร้างภายนอก หรือลักษณะกายภาพอันดาดดื่น เราแน่ใจได้เลยว่าเขาเหล่านั้นรู้มานานแล้วการไปเที่ยว เคแอลซีซี หรือมีงานที่ให้เงินเดือนสูง มิได้ลดหย่อนความรู้สึกหดหู่หรือเบื่อหน่ายภายในจิตใจตนเองได้แม้แต่น้อย

๒. คนที่เป็นโรคนี้มั
กจะพยายามมองหาที่พึ่งต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นการไปเยี่ยมเพื่อน การโทรหาบิดามารดา การคลุกคลีกับคนรัก หรือแม้แต่การออนเอ็ม เพราะเขาไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ จิตมันหดหู่  พยายามอย่างมากที่จะแสวงหาที่พึ่งทางใจ หรือแม้แต่การวิ่งเข้าหา พระศาสนาเพราะคิดว่านั่นคือที่พึ่งสุดท้ายและทรงประสิทธิภาพที่สุด

๓. มันก็มีทั้งคนที่ทำเหมือนกับว่
าภายในใจตนเองนั้นมิได้มีอะไร และดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ  และก็มีคนที่ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้ มันจึงแสดงอาการออกมาทั้งทางใบหน้าและการกระทำ (อ่อนใจจึงทำให้อ่อนแรง)

๔. โรคเหล่านี้มิได้มีสาเหตุ
มาจากสาเหตุเดียว มันเป็นสาเหตุสะสมสิ่งละอันพันละน้อยเรื่อยๆ มา (โดยไม่รู้ตัว) เมื่อมาถึงจุดๆ หนึ่งอันเป็นเส้นด้ายเส้นสุดท้าย คือเป็นสาเหตุสุดท้ายมาทับถมสาเหตุก่อนหน้า มันจึงแสดงอาการหดหู่และส่งผลกระทบจิตใจอย่างมาก คือ ส้มต้องเข้าใจด้วยว่าที่เราหดหู่หรือเบื่อหน่ายกับชีวิตนั้นมันมิได้เกิดจากสาเหตุที่เราเจอวันนี้ แต่มันสะสมมาเรื่อยๆ เรื่องนี้เข้ามาเรื่องนั้นตามมาแต่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เราไม่ทันสังเกต พอถึงจุดแตกหักมันก็จะแสดงอาการให้เราเห็นเอง

๔. และที่สำคัญต้องตระหนักด้วยว่า (สำคัญมาก คือประมาณทำใจไว้เลย) ว่ามันเป็นแล้วก็หาย แล้วมันก็เป็นใหม่แล้วมันก็
หายอีก มันจะเป็นๆ หายๆ อย่างนี้ตราบเท่าที่เรายังมีชีวิตอยู่ (มันข้อสมมุติฐานของเราเอง เพราะเราศึกษาและสังเกตโรคนี้มานานจวบจนอายุเราปัจจุบัน จากตัวเองนะ) ดังนั้นก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับมันจนเกินไป มันจะเป็นก็เป็นไป ให้เพียงแต่รับรู้ว่าเราไม่สบายใจ แต่อย่าไปเสิรมแต่งมัน คือเป็นแล้วก็อย่าได้คิดมากเอาเรื่องต่างๆ นาๆ มาคิดเพิ่มอีก มันจะทำให้เรายิ่งไม่สบายใจและยิ่งหดหู่ ปล่อยมันเรื่อยๆ เดี๋ยวพระองค์ก็จะส่งเรื่องบางเรื่องเข้ามาทำให้มันหายเอง (ชั่วคราวนะเดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่)

ทางแก้ (คิดเอาเอง เท่าที่ศึกษามาและจากประสบการณ์)
 

๑. อย่างที่บอกขอดุอาอฺ

๒. อยู่กับตนเองให้ได้ คือไม่จำเป็นต้องดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ ทำใจให้สงบให้ได้ นั่งสมาธิ (อันนี้ก็สำคัญนะ ลอกไปศึกษาดู เรากำลังคิดว่าจะทำยังงัยที่
จะเอาสมาธิการสังเกตุลมหายใจตนเอง เข้าไปประยุกต์กับการละหมาด เพราะการละหมาดโดยตัวมันเองก็ต้องการ ให้เราทำสมาธิอยู่แล้ว จดจ่อกับการปฏิบัติและอายัตต่างๆ ที่เราอ่าน (คือการละหมาด คูชูอฺ นั่นเอง)) มิได้บอกว่าไม่ต้องดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือ ถ้าอยากจะดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือก็ทำไป แต่ให้แน่ใจว่าเราดูโทรทัศน์เพราะเราอยากดูโทรทัศน์ และที่เราอยากอ่านหนังสือนั้นเพราะเราอยากอ่านหนังสือจริงๆ มิใช่เพราะเราเบื่อเราถึงดูโทรทัศน์ เพราะเราเบื่อเราถึงอ่านหนังสือ

๓. ยิ่งเราไขว่คว้าหาตัวช่วย เรายิ่งจะหาไม่เจอนะส้ม เพราะในที่สุดถึงแม้เราจะเจอตั
วช่วยที่เราหา แต่เราจะพบได้เองว่าในไม่ช้าว่าตัวช่วยที่เราพยายามหานั้น แต่เอะทำไมใจเรายังไม่สงบอยู่ดี ยังคงหดหู่อยู่ดี ต้องเข้าใจด้วยว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นมันเป็นปัญหาทางใจ เป็นปัญหาทางความรู้สึก มิใช่เจ็บหัวตัวร้อนที่จะสามารถหายาภายนอกมารับประทาน ถ้าจะแก้ให้หายก็ต้องแก้จากภายใน แก้ที่ใจเราเองนี่แหละ ใครๆ ก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น แล้วจริงไหมละ หลังจากที่ส้มวางหูโทรศัพท์หลังจากโทรคุยกับที่บ้าน ลองสังเกตดูว่าลึกๆ แล้วความหดหู่และเบื่อหน่ายนั้นมันหายไปจริงๆ หรือเปล่า

๔. และที่สำคัญ ไอ้ที่เราบอกว่าเรามีเป้
าหมายในชีวิตแล้วนั้น มันคือเป้าหมายในชีวิตจริงๆ ละหรือ ถ้ามันเป็นเป้าหมายชีวิตจริงๆ มันก็ต้องสามารถทำให้เรารู้สึกกระชุ่มกระชวย และรู้ซึ้งถึงคุณค่าของตัวเราในฐานะที่เป็นมนุษย์และเป็นบ่าวของพระองค์ บางทีเป้าหมายที่เราคิดว่าใช่มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะส้ม เพราะเป้าหมายที่แท้จริงนอกจากจะตอบสนองความต้องการของกายภาพอินทรีย์เราแล้วมันต้องทำให้ใจเราสงบได้ด้วย และจงรู้ไว้เลยว่ายามใดที่เรารู้เป้าหมายที่แท้จริงในชีวิตเรา เมื่อนั้นใจเราจะสงบเป็นที่สุด ตื่นมาตอนเช้าก็รู้สึกว่าชีวิตมีความหวังเพราะเป้าหมายเรามิได้แห้งแล้งที่ให้แต่เงินตรา แต่มันทำให้เราสุขใจได้ด้วย งานนะมันต้องสามารถยกระดับจิตใจเราได้ด้วย มิฉะนั้นแล้วยามเมื่อว่างงานหรือลาหยุดเราก็จะรู้สึกอยากหางานมาทำตลอดเวลา เพราะเวลาทำงานเหมือนกับว่าเราได้หยุดความหดหู่ซักพักนึง ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องวิ่งทำงานตลอดเวลาซิ เพราะเมื่อไม่ทำใจเราก็ไม่สงบ ทีนี้มันก็กลับมาที่ใจเราอีกนั่นแหละ จะทำยังงัยให้ใจเราสงบโดยที่ไม่ต้องไม่ยึดติดกับอะไรทั้งนั้นไม่ ว่าจะเป็นบิดามารดา, คนรัก, หรือตัวงาน (ลองไปศึกษาเอาเองนะ ลองไปอ่านงานเขียนของ ฐิตินาถ ณ พัทลุง "เข็มทิศชีวิต เล่ม ๑" เขาเขียนเรื่องจิตและใจใช้ได้เลยนะ) 

ที่เขียนมาทั้งหมดใช่ว่าเราดี
กว่าส้มนะ อย่างที่บอกโรคนี้มันเป็นๆ หายๆ เราก็เป็นอยู่เรื่อยๆ แต่อาศัยที่ว่าเราคงจะเป็นบ่อยเกินขนาดเลยศึกษามันมาตลอด ก็พอจะแบ่งปันความรู้และความคิดของเราได้บ้าง,

เรายังเคยเขียนให้ตัวเองเลยว่า "หากชีวิตนี้เรามิได้เกิดมาเป็
นมุสลิม เราคงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ และฆ่าตัวตายไปตั้งนานแล้ว เพราะทนบาดแผลจากโรคร้ายนี้ไม่ไหวจริงๆ" แต่ก็นั่นแหละการฆ่าตัวตายนั้นอิสลามบอกว่าบาปฉกรรจ์ตกนรกสถานเดียว ก็เขียนระบายนะ ให้ตายจริงๆ ก็กลัวหัวหดอีกนั่นแหละ เพียงแต่จะบอกว่าอาการของโรคนี้สำหรับเรามันรุนแรง ทั้งสิ้นทั้งปวงจงพึงประคับประคองจิตใจของเราให้สงบนิ่ง (ไม่ทั้งสุขและทุกข์ เหมือนวิถีพุทธเลยนะ แต่ถ้ารู้สึกว่ามันช่วยเราได้ก็น่าจะลองทำดู ตราบที่มันไม่ไปขัดแย้งกับหลักการอิสลามขั่นพื้นฐาน)

มีอะไรก็เมลล์มาละกัน



سليندونج بايو

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ปัญหาหัวใจ

วันนี้มีเพื่อนเมลล์มาปรึกษาปัญหาหัวใจ อะ อะ อะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เขาหรือหล่อนมิได้อกหักและ เขาหรือหล่อนคนนั้นน่าจะเรียกได้ว่ากำลังเผชิญกับภาวะหดหู่ทางใจ (เราว่าคล้ายๆ โรคซึมเศร้า) นะ ข้าพเจ้าก็เลยสวมรอยเป็นหมอตำแยประจำหมู่บ้านซะเลย ไม่รู้ออกลูกผีหรือลูกคนละทีนี้ และต่อไปนี้เป็นคำถามและคำระบายของเพื่อนคนนั้นและคำตอบที่ข้าพเจ้าแจกแจงซะยืดยาว (เอาประสบการณ์ตรงเป็นหลัก)


อีเมลล์ที่ส่งมา
Salam,
 
How was ur day hope u r very find.  I heard that the situation in BKK is now unsafe because of Red Shirt Protesters but hope it's not effected to ur area.

Do u ever see their protesting? Is it really bad?

Anyway, actually i have nothing just feel bored during the day because of Songkran festival, in Thailand  got long holiday n i have no work to do just come here to play around n disturb people... ei ei....
 
Therefore, i'm tried to do something to pretend that am doing something by asking n sharing about people's life.  
Just want to share with u something.  Have u ever feel like no mood, feel bored, sad and lonely n don't no what reason is? U come to work but can't concentrate with ur task.  What u going to do with that feeling?

I sometimes got that feeling and tried to escape it but it's not succeed. I think i might escaped it improper way therefore it's still remained. I'm tired to make myself feel better by reading book, watching TV, calling my mum, doing some activities that i think it might help me to get free from it. But it doesn't work.
 
Do u have any idea? n also u free to share anything if u have n want someone to listen.
 
By the way, sorry if i disturb ur time. If u have no time please ignore this email, no longer to reply it.
 
Take care....
Wassalam.


ข้าพเจ้าตอบไปดังนี้........(มีต่อกับป๋ม)




salindongbayu

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

๓๐ ปีกับอีก ๒ เดือน

26/12/2009
iium library


ข้าพเจ้าเดินย่ำอยู่ในโลกใบนี้มา ๓๐ ปีกับอี ๒ เดือนแล้ว, เป็น ๓๐ ปีกับอีก ๒ เดือนที่ไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง, เป็นขวบปีที่ไม่เคยสงบนิ่งและมั่นคง, เป็นห้วงเวลาแห่งการค้นหาที่ทอดยาว, เป็นระยะทางที่ประดับประดาไปด้วยความเปลี่ยวดายและแห้งแล้งที่สุด, เป็นการก้าวเดินบนถนนที่ไร้ความหวัง, และข้าพเจ้าอยากให้มันบรรจบหมดสิ้น ณ ปัจจุบันขณะ

จะเชื่อหรือไม่หากข้าพเจ้าจะเขียนว่า ด้วยวันเวลาและแวดล้อมที่หลอมรวมเป็นข้าพเจ้า ณ ปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยมีจุดหมายใดๆ ให้ชีวิต ข้าพเจ้าเดินเรื่อยๆ อย่างอ่อนล้าแต่ก็ไม่เคยหยุดเดิน ข้าพเจ้าก้าวช้าๆ อย่างไร้จุดหมาย ข้าพเจ้าหาจุดหมายให้ตนเองไม่เจอ ด้วยลักษณะคิดมากถามมาก เฟ้นหาแต่แก่นสาร จุดหมายปลอมๆ ข้าพเจ้าไม่ต้องการ นั่นทำให้จวบจนขณะนี้ ข้าพเจ้าก็ยังหาจุดหมายให้ตนเองไม่ได้ จะเป็น, จะมี, อย่างไร, เพื่อใคร, และเพื่ออะไร เป็นคำถามที่คมชัดยิ่ง แต่คำตอบมันลางเลือนเหลือเกิน


การเจริญงอกงามของผู้คนในหน้าที่การงานเป็นเสมือนกระจกเงาที่ส่องสะท้อนตนเองของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าล่ะ ควรจะเป็นใครและอยู่ตรงไหนของ concept หน้าที่การงานที่ถูกยัดเยียดนี้ ด้วยความตระหนักรู้อยู่เสมอว่านั่นคือ แนวความคิดอันแปลงเป็นแนวปฏิบัติที่ถูกยัดเยียด แต่บางคราก็เผลอไผลวิ่งตามวิ่งไล่ เพราะมันแทรกซึมเข้าลึกสู่หลากหลายแขนงขององค์ชีวิต จึงยากที่จะหลีกหนีอิทธิพลเข้าสิงในบางครั้ง แต่ยามที่กลับมารู้เนื้อรู้ตัว กลับพบว่าตนเองยังคงเคว้งและคลำทางอยู่เหมือนเดิม

บางครั้งก็ครุ่นคิด หรือจะเป็นความคิดเราเองที่ติดกับดัก concept ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ด้วยคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้องและดีต่อตนเอง แต่มันอาจจะเป็นกับดักตีกรอบความคิดให้วิ่งวนอยู่ในในเส้นรอบวงที่ถูกตีกรอบก็เป็นได้ อันนี้ก็ไม่ทราบได้ เพราะรู้สึกว่าตนเองก็เปิดลู่ความคิดเกือบทุกลู่แล้ว ล็อคตัวใดที่คิดว่ามีอยู่ก็พยายามปลดหมดทุกตัว หรือจะมีเล็ดรอดเหลืออยู่?


ข้าพเจ้าไม่อยากตายไปโดยไร้ความหมาย อยากจะทิ้งของดีๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์และก่อเกิดอนิสงค์แก่ข้าพเจ้าเองยัง ณ ดินแดนแห่งใหม่ งานเขียนรุ่นใหม่ เช่นของ อาอิด อัล ก็อรนีย์ หรือของ นิฐินาถ ณ พัทลุง เป็นงานเขียนชิ้นสำคัยที่ถูกจริตกับคนเช่นข้าพเจ้าดีแท้ อดอิจฉาไม่ได้ว่า งานเขียนของคนเหล่านั้นจะยังบุญกุศลแก่ตัวผู้เขียนมากปานใดที่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือราคาถูกแต่มากด้วยคุณค่าแก่คนทั้งหลาย 


ทุกช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง มักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดแก่คนลักษณะโมหะจริตเสมอ (สมมุติฐานของข้าพเจ้าเอง) เพราะเขาเหล่านั้นจะใช้ความรู้สึกเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต จึงไม่ใช่คนลักษณะที่จะมาวางแผนล่วงหน้า ซึ่งก็โทษใครไม่ได้เลย

ข้าพระองค์หมดหนทางและก็เป็นเช่นเดิมกลับมาซมซานขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ๓๐ ปีกับอีก ๒ เดือนของข้าพระองค์ได้หายวับไปกับความมั่วซั่ว ไร้แบบแผน และไร้ประโยชน์อย่างบัดซบ แต่ช่วงอายุที่เหลือขอพระองค์ทรงชี้แนวทางรวมทั้งดลบันดาลให้มันเป็นอีกครึ่งชีวิตที่ให้ประโยชน์แก่ทั้งตนเอง, พระศาสนา, และผู้คนด้วยเถิอด พระองค์ 

เขียนเสร็จ 27/12/2009


salindongbayu

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

ไม่อยากดูและอ่านข่าว

ประสบการณ์ได้เคยอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านในช่วงระยะเวลาหนึ่งนั้น ดีตรงที่เรามีตัวเปรียบเทียบกับประเทศเราที่ไปสัมผัสมาด้วยตนเอง เห็นก้าวย่างของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นก้าวย่างน้อยๆ ช้าๆ แต่มั่นคง มันสร้างความปวดใจให้เราคนในประเทศตนเองไม่น้อย เจ็บใจตรงที่ว่าคนในประเทศเรามันกำลังทำบ้าทำบออะไรกันอยู่ถึงได้เดินติดหล่มมานานแสนนานอย่างนี้ 


แน่นอนว่าเรามิได้ชื่นชมในกระบวนการแข่งขัน และมิได้มีจุดหมายอยู่ที่ชัยชนะเหนือหัวผู้ใด แต่เราก็น่าจะมีมารตฐานที่เราควรจะเอื้อมไปให้ถึงเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนในประเทศเรามิใช่หรือ และเมื่อเห็นคนข้างบ้านกำลังจะไปถึงเป้าหมายที่เคยหวังเหมือนกันในเวลาอันใกล้นี้ทั้งที่เคยเดินตามหลังนั้น มันย่อมนำมาซึ่งความเจ็บใจและหมดอาลัยในความเป็นไปของบ้านเมืองเราเอง เอาว่ะมันจะเป็นไงก็ชั่งหัวแม่งมัน กูขอแค่ตัวเองสบายใจก็พอ ทั้งที่เราก็เคยเอาใจช่วยเต็มที่ 


ข่าวการปะทะกันวานนี้ (๑๐.๐๔.๒๐๑๐) ทำให้ข้าพเจ้าไม่อยากจะติดตามข่าวสารเลย ทั้งที่เป็นคนติดข่าวสารมาก ช่องไหนที่รายงานการปะทะกันข้าพเจ้าจะข้ามไปดูช่องอื่นที่จรรโลงใจมากกว่า เพราะทันทีที่รู้ข่าวว่ามีการปะทะและมีคนบาดเจ็บล้มตายนั้น จากที่เคยเอาใจช่วยและกังวลว่าเมื่อไหร่เราจะรุดหน้าเสียที กลับกลายเป็นหมดกำลังใจสุดกำลัง พาลทำให้ไม่อยากรับรู้ข่าวสารใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งดูและยิ่งรับรู้มันก็ยิ่งหดหู่และหมดหวัง ติดอยู่ในบ่วงและหลุมเดิมๆ นี่แหละประเทศเรา แม่ง ถึงไม่เจริญซักที 


แต่ในอีกด้านก็ดีเหมือนกัน มันจะได้เดินต่อซักที จะให้มันอยู่รอดปลอดภัยเจริญรุ่งเรืองเยี่ยงอาณาประเทศเขา หรือจะเดินลงเหวก็ให้รู้กัน จะได้เตรียมทางหนีทีไล่ได้ถูก มิใช่กำตดอยู่อย่างนั้นไม่ไปทางไหนซักทาง 






salindongbayu

เมืองไทยที่คิดคำนึง (ต่อ)

ข้าพเจ้าออกเดินทางไขว่คว้าอย่างที่ได้แลเห็นจากหน้าต่างประเทศตนเอง เพราะคิดว่าที่อื่นอย่างน้อยก็ดูดีกว่าประเทศเรา ขณะศึกษาต่อข้าพเจ้ามีความสุขกับแวดล้อมและผู้คนที่รายล้อมข้าพเจ้า และหวังว่าต่อไปข้าพเจ้าจะเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ให้ได้ สิ่งก่อสร้างทางกายภาพที่พบเห็นนั้นดูชื่นใจกว่าบ้านเรามากเหลือเกิน แต่จะด้วยสันดานเดิมของข้าพเจ้าก็ไม่ทราบได้ ที่มักจะมีแต่ความหวังแต่ขาดซึ่งแรงขับเคลื่อน จึงได้แต่นั่งหวังอยู่บนหิ้ง ซึ่งก็ประยุกต์ได้กับหลายๆ อย่างในชีวิตจริงของตนเอง จึงได้แต่กำตดกลับบ้านเกิด แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักและสังเกตเห็นยามเมื่อมีกิจธุระต้องเดินทางขึ้นเมืองหลวง คนบ้านเรามันต่างกับคนเมืองนั้นที่ข้าพเจ้าศึกษาต่อนะ

อาชีพการงานที่ได้เคยวิ่งชนนั้น ด้วยลักษณะงานที่ต้องเจอะเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ทำให้ได้ยินบ่อยเหลือเกินว่านิสัยคนไทยนั้นเยี่ยมยอดกระเทียมเจียว มีความอ่อนน้อมในระดับที่มากกว่าประเทศอื่น มีบริการที่เป็นเลิศ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าก็รับเอาความเป็นไทยมาไม่น้อยแต่ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ลักษณะนิสัยของข้าพเจ้านั้นบ่งบอกความเป็นไทยอยู่ไม่น้อย จนนักท่องเที่ยวมอร็อกโคที่ข้าพเจ้าเคยพาเที่ยวนั้นบอกข้าพเจ้าว่าฉันเคยไปเที่ยวเมืองไทยมา คนไทยเป็นคนน่ารัก มีมิตรไมตรี ช่วยเหลือผู้อื่น และเธอก็คือหนึ่งในผลผลิตที่ฉันกล่าวมา

หลายต่อหลายกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชมประชากรปรเทศนี้เมืองนี้ให้ข้าพเจ้าฟัง ซึ่งข้าพเจ้าก็ประจักได้เองในหนหลังเพราะเมื่อเทียบกับชนชาติอื่นที่ข้าพเจ้าเคยคลุกคลีในช่วงเวลา ๓-๔ ปีนั้นจะหาความอ่อนน้อมเช่นนี้ได้ยากมาก ข้าพเจ้ามิได้ชมเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีเพราะเป็นคนถือสัญชาตินี้ แต่เพราะข้าพเจ้าเคยไม่ชอบความเป็นคนชาตินี้มาก่อน เมื่อเวลาล่วงไปเราได้พบเจอผู้คนมากมายหากนำมาเปรียบเทียบกันเราก็พบว่านิสัยเช่นนี้เองที่เป็นแรงดูดผู้คน

การรักษาตนจากภายในเช่นที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น หากแม้นสามารถยืนตนอยู่ในแวดล้อมทางกายภาพที่ชื่นตาสบายใจ แต่กลับต้องพบเจอผู้คนที่แห้งแล้งทางจิตใจนั่นย่อมเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง ดังนั้นการดำรงตนอยู่ในเมืองหลวงอุดอู้ ห่มคลุมเช่นนี้ แต่อย่างน้อยก็น่าชื่นใจอยู่อย่างนึงว่า เราจะได้พบเจอผู้คนส่วนมากที่ยินดีจะหยิบยื่นมิตรไมตรีให้ในทุกๆ ที่

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นการหยิบเอาความเป็นส่วนใหญ่ของประเทศมาพูดคุย ดังนั้นหากจะพูดว่าประเทศอื่นนั้นแห้งแล้งน้ำใจเสียทั้งหมดย่อมเป็นตรรกะที่ไม่สมเหตุสมผลแน่นอน และเช่นเดียวกันหากจะนำกฏนั้นมาใช้ว่าคนไทยทุกคนจะเป็นเช่นที่ข้าพเจ้ากล่าวมาย่อมผิดถนัด













salindongbayu

เมืองไทยที่คิดคำนึง ๑

ข้าพเจ้าได้ย่างเข้าสู่วัยกลางคนเป็นที่เรียบร้อย หากจะพูดว่าข้าพเจ้าได้สั่งสมประสบการณ์และโลกทรรศมากขึ้นย่อมไม่ผิด กระบวนการและความสลับซับซ้อนทางความคิดทวีขึ้นเป็นลำดับ ความรู้สึกนึกคิดตีรวนไม่เป็นกระบวนสลับซับซ้อนโยงใยกันไม่เป็นระบบเอาเสียเลย บางครั้งเมื่อความรู้สึกใหม่ที่ผุดขึ้นในหัวใจและความคิด ข้าพเจ้าพบว่าความรู้สึกเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นแล้วกับข้าพเจ้าในอดีต และบางความคิดความรู้สึกมันก็ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับอดีตกาล


เมื่อกี้นี้ข้าพเจ้านั่งดูรายการ "ฉันรักเมืองไทย" ทางช่องโมเดิร์น ๙ ทีวี (๑๑.๐๔.๒๐๑๐) เขานำฝรั่งมิชชั่นนารีจากสหรัฐอเมริกาที่อุทิศตัวเพื่อยกระดับจากความไร้โอกาสของชนเผ่าตองเหลืองสู่ความด้อยโอกาส (เพราะมันก็ยังมีโอกาสบ้างแม้จะไม่มากก็ตาม) มาถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกที่เขาเหล่านั้นมีต่อเมืองไทย เขาบอกว่าเขารักเมืองไทย เขารักคนไทย คนไทยพูดกันรู้เรื่อง มีความเป็นมิตรสูง


ข้าพเจ้าเองก็เติบโตขึ้นมาในประเทศนี้ถือสัญชาติไทย แต่โดยกำพืดนั้นเชื้อชาติมาลายู ในวัยเด็กข้าพเจ้ารับเอาความเป็นสัญชาติไทยอย่างเต็มพิกัดเท่าที่สังคมตีกรอบแถบภาคใต้ของไทยจะอำนวย ข้าพเจ้ารับความเป็นสัญชาติไทยจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาในโรงเรียนแถวบ้าน, เพลงชาติเวลา ๘.๐๐ น. และเวลา ๑๘.๐๐ น., โทรทัศน์, สตรีสาร, ละครหลังข่าว, การ์ตูนทางช่อง ๙ ในวันหยุด, โดราเอม่อน, รายการพิเศษวันนักขัตฤกษ์, แนวความคิดแผ่ซ่านจากส่วนกลาง, และค่านิยม (แม้สังคมวางกรอบแถบภาคใต้พยายามสกัดกั้นค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในประเทศก็ตาม) 


ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ชอบความเป็นสัญชาติไทยเอาเสียเลย ด้วยเพราะค่านิยมและแนวคิดจากส่วนกลางเองที่ทำให้คนไทยแม้จะเป็นเชื้อชาติไทยเองมิได้รู้สึกภูมิในความเป็นคนชาตินี้ เขายกย่องฝรั่งมังค่ากันทั้งประเทศ คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ถือเป็นคนอีกชนชั้น และหากได้ไปศึกษาต่อในประเทศตะวันตกด้วยแล้วคนไทยด้วยกันเองจะยกย่องเทิดทูนเอามาก (เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว) ข้าพเจ้าเองก็มองว่าประเทศเราทำไมถึงล้าหลังเช่นนี้ ประชากรมัวเมาอยู่แต่อบายมุขทุกชนิด นักการเมืองเป็นคนชนิดที่สกปรกที่สุด ความเจริญกระจุกตัวอยู่แต่ส่วนกลางและไอ้ที่กระจุกตัวอยู่นั้นก็เป็นพิษต่อประชากรของประเทศเองไม่ใช่น้อย ข้าพเจ้าเปิดหน้าต่างแลออกไปนอกประเทศ ข้าพเจ้าอยากจะหลุดพ้นจากหล่มตรงนี้ อยากจะคลุกคลีกับคนที่เจริญกว่า และดีกว่าประเทศไทย


โอกาสหลายอย่าง และสิ่งหลายสิ่งได้พัดผ่านเข้ามาในชีวิต ได้มองโลกในมุมต่างๆ นอกจากมุมเมืองไทย แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้เดินทางไปทั่วโลก แต่โอกาสที่ทรงประทานมานั้นก็ดีกว่าคนหลายคนในประเทศนี้มากมายนัก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา และโอกาสทางสัมมาอาชีพ พบปะผู้คนหลากหลายชาติพรรณ สัมผัสความคิดและโลกทรรศที่แตกต่าง มิหนำซ้ำการเป็นคนลักษณะเช่นข้าพเจ้านั้นจะถูกหล่อหลอมด้วยเงื่อนไขและบรรยากาศที่ไม่เอื้ออำนวยในบางด้านของชีวิต เมื่อถูกล้อมกรอบด้วยเงื่อนไขและปัจจัยนอกเหนือการควบคุมของตนเอง ข้าพเจ้าจึงพยายามมองหาทางออกเพื่อจะได้ผ่อนคลายและเป็นสุขแม้จะต้องอยู่ในกรอบที่ไม่อาจปฏิเสธและหลีกหนีได้ 


ข้าพเจ้าค้นหาและสังเกตทั้งปัจจัยเงื่อนไขและใจตนเองอยู่เป็นนาน ผ่านการลองผิดลองถูกและความเจ็บปวดทางใจอาจจะเรียกได้ว่า "มีชั่วโมงบินทางใจ" สูงกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จึงพบว่าความเจ็บช้ำทางความรู้สึกของตนเองนั้นมิจำเป็นต้องหาสิ่งใดภายนอกเพื่อมาเยียวยาและรักษา หากแต่ต้องรักษามันจากภายในตน จึงจะอยู่ภายในกรอบที่สยบยอมอย่างมีความสุข......
(มีต่อ)   








  


salindongbayu

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

ใบยางพาราสีแดง

กับโลกใบเดิมครั้นยังเยาว์ กับต้นยางพาราต้นเดิมครั้งยังมองหาความหมายและความทะเยอทะยานในโลก กับความเปลี่ยวดายอันเดิมที่พยายามสลัดทิ้งและหลีกหนี แต่มันก็เหมือนบ้านเกิดเมืองนอน ไม่ว่าจะทิ้งร้างไปนานแค่ไหนหรือเดินทางไกลเท่าใดสุดท้ายก็ต้องกลับมาที่เดิม กลับไปเปลี่ยวดายเหมือนเดิม

ต้นยางพาราต้นนั้นก็เช่นกัน ข้าพเจ้ายืนมองมันในฤดูที่มันปลิดใบตัวเองทิ้งเพื่อความอยู่รอดครั้งอายุอานามของข้าพเจ้ายังเดียงสาน้อยเหลือเกินแต่เจ็บปวดกับโลกมากเหลือเกิน ครานั้นข้าพเจ้าเกลียดใบยางพาราสีแดงในฤดูร้อนใบไม้ร่วง เพราะไม่เพียงมันจะปลิดขั่วตัวเองทิ้งแต่มันยังยื้อแย้งเอากำลังใจจากหัวใจข้าพเจ้าไปด้วย ข้าพเจ้าตั้งคำถามมากมาย ชีวิตมีแต่ทำไมและทำไม ความมีสุขอยู่ดีของข้าพเจ้ามันอยู่ที่ไหน ตัวตนของข้าพเจ้ามันหลบซ่อนอยู่ตรงไหน ความปกติสุขของข้าพเจ้ามันหายไป ทำไมชีวิตของข้าพเจ้ามันถึงหุ้มห่อ ข้าพเจ้าสร้างปราการเพื่อป้องกันตนเองจากความเจ็บปวด จนมารู้ตัวอีกทีข้าพเจ้าก็ห้อมล้อมไปด้วยปราการเปลี่ยวดายอันสูงตระหง่าน มันปลอดภัยในความแปลกแยกและหลีกหนี, อุดอู้, กดดัน, เหงาหงอย, และอัดแน่น แต่ข้าพเจ้าก็พอใจที่จะวางตนเองอยู่ในปราการอันนั้น เพราะมันย่อมดีกว่าที่จะนำพาตนเองออกไปเจอความโหดร้ายภายนอกที่ไม่เคยปราณีข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ารู้ดีมันจะทำร้ายข้าพเจ้าได้ร้ายกาจปานใด

ข้าพเจ้าพร่ำบอกตัวเองว่าซักวันหนึ่ง วันที่เป็นของข้าพเจ้าจะมาถึง วันที่ข้าพเจ้าจะปลอดภัย, อิสระ, และปลอดโปร่งอย่างแท้จริงจะมาถึงในไม่ช้า วันแห่งการตอบแทนต่อความอดทนอันอัดแน่นและเขม็งเกลียวจะต้องมาเยือนอย่างแน่นอน ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยการให้กำลังใจตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ความสุขเลื่อนลอยอันพอจะอนุมานได้เองว่าคืนนี้และพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะได้เจอความหวัง ไม่ว่าจะเป็นละครเปาบุ้นจิ้นยามค่ำคืนหรือห้องสมุดประชาชนในวันพรุ่งนี้

แต่มาวันนี้ ใบไม้ต้นยางพาราต้นเดิมในฤดูปลิดใบฤดูเดิม แต่หัวใจของข้าพเจ้ายังคงหุ้มห่อเหมือนเดิม มันเหมือนกันเดินทางหมื่นลี้เพื่อการค้นหา แต่สุดท้ายปลายทางคือการกลับมาที่เดิมงั้นหรือ ตามเรี่ยรายทางที่ข้าพเจ้าพอจะเรียกมันว่าความสุขนั้นพระองค์ยังคงส่งความปวดร้าวให้ข้าพระองค์ไม่พอหรือ มันเป็นการหล่อหลอมมนุษย์คนหนึ่งที่ใช้เวลานานนะพระองค์ นานจนข้าพระองค์ได้แต่บื้อใบ้เพราะก็จนหนทางอย่างสุดแสน

ข้าพเจ้ารอ ความหวังทางโทรศัพท์, อีเมลล์, จดหมาย, และข่าวคราวต่างๆ แต่ความหวังนั้นเหมือนต้องการท่อน้ำเลี้ยงที่ยาวเหลือเกิน การให้กำลังใจตนเองในยามที่ขาดความหวัง การคงสภาพหัวใจให้แช่มชื่นอยู่เสมอในยามที่มองไม่เห็นอนาคตมันยากจริงๆ แต่ก็ปรากฏว่ามันเป็นความยากลำบากที่ต้องฝืนและดันทุรังประคับประคองหัวใจต่อไป ไม่เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าทะเยอทะยานและมีชีวิตอยู่ เพราะความเป็นจริงที่รู้เห็น โลกเราไม่เคยปราณีและหยิบยื่นชัยชนะให้คนที่ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ท่ามกลางคลื่นลมที่รอโอกาสพัดพาเอากำลังใจให้เหือดแห้งจากหัวใจนามธรรมอยู่ตลอดเวลา