วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บอ (พ่อ)

หัวหน้าไปปากี, senior ไปเวียดนาม, ส่วนไอ้เพื่อนร่วมงานอีกคนก็หายหัวเสียอย่างนั้น ข้าพเจ้านั่งเหงาอยู่ในออฟฟิศคนเดียว เตร็ดเตร่อยู่ตามหน้าเว็บต่างๆ โดยเฉพาะไอ้เฟซ ท่องเว็บไปก็ทำร้ายจิตใจตัวเองไป โง่บัดซบเหลือเกิน ออกจากห้องทุกเช้ามีหนังสือติดมือมาทุกวัน และก็เอามันติดมือกลับไปทุกวันโดยที่ไม่เคยเปิดอ่านซักวัน ในเมื่อตัดไอ้อินเตอร์เน็ตไม่ขาดไม่สิ้นเสียที ก็คงต้องหาอุบายล่องตามกระแสแต่ยังประโยชน์ด้วยในคราวเดียว (เพื่อหลอกตัวเองแท้) มีบันทึกนอนแน่นิ่งในลิ้นชักมาพักใหญ่ๆ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเอาลงบล็อกดีหรือไม่ สุดท้ายมันกำลังจะกลายสภาพเป็นดิจิตอล ณ บัดนี้แล้ว

11/5/2011
ST3.9, 17.00
AIT

บอ (พ่อ)

ข้าพเจ้าเจ็บไข้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งก็ไม่รู้ด้วยสาเหตุอันใด เพราะก่อนล้มตัวลงนอนก็ยังกระปรี้กระเปร่า จวบจนเวลาเที่ยงคืนก็เริ่มหนาวสั่น ผ้าห่มสองผืนก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ข้าพเจ้านอนไม่หลับทั้งคืน จึงตัดสินใจลุกขึ้นต้มน้ำร้อน เพราะคิดว่าคงจะช่วยอะไรได้บ้าง นั่งคลุมโปง จิบน้ำอุ่น หาอะไรทานนิดหน่อย ยังดีที่พอมีข้าวกล้องก้นหม้ออยู่หน่อยนึง จากนั้นก็อัดวิตามินซี 1000 มิลลิกรัม ไป 2 เม็ด ละหมาดฟัจรีแล้วก็นอนต่อ แต่ก็ยังไม่หลับเช่นเคย การเจ็บปวดทางกายนี่มันทรมานอะไรเช่นนี้ ระหว่างวันความคิดเรื่องพ่อผุดออกมาไม่ขาดสาย ข้าพเจ้ากำลังเจ็บปวดทางกายอยู่บนโลกมนุษย์ แต่พ่อที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นเช่นไรในหลุมศพ ข้าพเจ้าก็สุดที่จะจินตนาการ หากสุขสบายก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอีกประการใด แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นมันจะทรมานซักปานใดกันนะ ข้าพเจ้านั่งเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดของตนเอง มันคงจะเทียบกันไม่ได้เลย (ร็อบบิฆฟิรลี วาลีวาลีดัยยา วัรฮัมฮูมากามาร็อบบายานีซอฆีรอ) 

จวบจนพ่อสิ้นชีวิต ข้าพเจ้าไม่เคยรู้เลยว่าพ่อนึกคิดอะไรบ้างในชีวิตของท่าน ด้วยเพราะท่านไม่เคยจะแชร์ความคิดใดๆ กับลูกๆ ท่านมักจะวางอำนาจ ซึ่งบอกตามตรงว่าข้าพเจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออำนาจของท่านในเชิงลบ ข้าพเจ้ากระแทกกระทั้น ข้าพเจ้าฟึดฟัดยามท่านออกคำสั่ง และเฝ้าบอกตัวเองว่าโตขึ้นข้าพเจ้าจะไม่เป็นเหมือนพ่อ ข้าพเจ้าโกรธท่านจวบจนวาระที่ท่านจากไป ซึ่งก็ไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเพราะข้าพเจ้าเรียนอยู่ต่างประเทศ ผู้คนต่างพยายามปิดบังข่าวการตายของพ่อเพราะเกรงว่าข้าพเจ้าจะเสียการเรียน ต่อเมื่อข้าพเจ้าทราบข่าว จำได้ขณะนั้นยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ (มานึกอีกทีเหมือนกำลังแสดงละครให้ตัวเองดู) ข้าพเจ้ามีสติครบสมบูรณ์ดี ข้าพเจ้าปล่อยหูโทรศัพท์เหมือนคนตกใจสุดขีด (จำจากละคร) พยายามเร่งเร้าความตกใจข้างในให้มันแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา เค้นแล้วเค้นอีกจะได้เสียใจกับการจากไปของบิดาเฉกเช่นลูกที่ดีควรเป็น แต่เปล่าเลยข้าพเจ้าทั้งไม่ตกใจ ทั้งไม่เสียใจ และไม่อยากร้องไห้ด้วยซ้ำ (ตลกไม่ออกละทีนี้) ข้าพเจ้าเป็นลูกที่เลวมากใช่ไหม? แต่มันจะกลับกันหากผู้ที่เสียชีวิตเป็นมารดาของข้าพเจ้า แม้เพียงจิตนาการไปเองหากวันหนึ่งวันใดแม่จากไป ข้าพเจ้าก็จะร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดไม่หย่อน เพราะข้าพเจ้าประจักแก่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของข้าพเจ้าตั้งแต่ยังแบเบาะจวบจนปัจจุบันถึงความรักความเสียสละที่แม่ปฏิบัติให้เห็น ข้าพเจ้าเห็นด้วยตา สูดดมด้วยจมูกถึงความยากลำบากของมารดา ความเครียดที่ต้องแบกรับปัญหาชีวิต และท่าทางก่ายหน้าผากที่เห็นอยู่ประจำ 

พ่อเป็นอย่างไร ณ ตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ และไม่รู้ด้วยเช่นกันว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงระลึกถึงพ่อขึ้นมา หรือข้าพเจ้ากำลังจะตายตามพ่อไป (ร็อบบานาอ่าตีนาฟิดดุนยาฮาซานะฮฺ วาฟิลอาคีเราะหฺฮาซานะฮฺ วากีนาอาซาบัรนัร) 

จะโกรธ จะเกลียด จะรัก หรือจะหลง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยั่งยืน การตายจากคือบทสุดท้ายของครรลองชีวิต ข้าพเจ้ากลับมาคิด ถึงจะโกรธท่านอย่างไร สุดท้ายเราก็ตายจากกันอยู่ดี หากเมื่อตายไปก็ตัวใครตัวมัน พ่อก็บุญกุศลของพ่อ ข้าพเจ้าก็หอบทั้งคุณความดีและกรรมชั่วติดตัว ทุกคนมีเป็นของตัวเองทั้งนั้น

พ่อกำลังเป็นเช่นไรข้าพเจ้าไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าความโกรธความชังได้มลายหายสิ้น เหลือแต่ความว่างเปล่าที่ว่า "เราเคยเป็นพ่อลูกกัน"

ทุกครั้งที่เจ็บป่วย มักจะมีความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังจะตาย ความหวาดกลัววิ่งเข้าหาในทันใด หากตายไปจะเจออะไร จะสุขหรือทุกข์เช่นไร ข้าพเจ้ากลัวชีวิตหลังความตายเพราะตระหนักเป็นแม่นมั่นว่า ตนเองบกพร่องเหลือหลาย มีเพียงสิ่งประการเดียวที่หวังคือ ความยากลำบากที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพระองค์เป็น 2 เท่าของคนทั่วไปจะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบายามเมื่อยืนต่อหน้าพระพักตร์....ข้าพระองค์หวังมากไปไหม?

ถึงบอ....จาก รอมีซู