วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บอ (พ่อ)

หัวหน้าไปปากี, senior ไปเวียดนาม, ส่วนไอ้เพื่อนร่วมงานอีกคนก็หายหัวเสียอย่างนั้น ข้าพเจ้านั่งเหงาอยู่ในออฟฟิศคนเดียว เตร็ดเตร่อยู่ตามหน้าเว็บต่างๆ โดยเฉพาะไอ้เฟซ ท่องเว็บไปก็ทำร้ายจิตใจตัวเองไป โง่บัดซบเหลือเกิน ออกจากห้องทุกเช้ามีหนังสือติดมือมาทุกวัน และก็เอามันติดมือกลับไปทุกวันโดยที่ไม่เคยเปิดอ่านซักวัน ในเมื่อตัดไอ้อินเตอร์เน็ตไม่ขาดไม่สิ้นเสียที ก็คงต้องหาอุบายล่องตามกระแสแต่ยังประโยชน์ด้วยในคราวเดียว (เพื่อหลอกตัวเองแท้) มีบันทึกนอนแน่นิ่งในลิ้นชักมาพักใหญ่ๆ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเอาลงบล็อกดีหรือไม่ สุดท้ายมันกำลังจะกลายสภาพเป็นดิจิตอล ณ บัดนี้แล้ว

11/5/2011
ST3.9, 17.00
AIT

บอ (พ่อ)

ข้าพเจ้าเจ็บไข้ตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งก็ไม่รู้ด้วยสาเหตุอันใด เพราะก่อนล้มตัวลงนอนก็ยังกระปรี้กระเปร่า จวบจนเวลาเที่ยงคืนก็เริ่มหนาวสั่น ผ้าห่มสองผืนก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ข้าพเจ้านอนไม่หลับทั้งคืน จึงตัดสินใจลุกขึ้นต้มน้ำร้อน เพราะคิดว่าคงจะช่วยอะไรได้บ้าง นั่งคลุมโปง จิบน้ำอุ่น หาอะไรทานนิดหน่อย ยังดีที่พอมีข้าวกล้องก้นหม้ออยู่หน่อยนึง จากนั้นก็อัดวิตามินซี 1000 มิลลิกรัม ไป 2 เม็ด ละหมาดฟัจรีแล้วก็นอนต่อ แต่ก็ยังไม่หลับเช่นเคย การเจ็บปวดทางกายนี่มันทรมานอะไรเช่นนี้ ระหว่างวันความคิดเรื่องพ่อผุดออกมาไม่ขาดสาย ข้าพเจ้ากำลังเจ็บปวดทางกายอยู่บนโลกมนุษย์ แต่พ่อที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน จะเป็นเช่นไรในหลุมศพ ข้าพเจ้าก็สุดที่จะจินตนาการ หากสุขสบายก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอีกประการใด แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นมันจะทรมานซักปานใดกันนะ ข้าพเจ้านั่งเปรียบเทียบกับความเจ็บปวดของตนเอง มันคงจะเทียบกันไม่ได้เลย (ร็อบบิฆฟิรลี วาลีวาลีดัยยา วัรฮัมฮูมากามาร็อบบายานีซอฆีรอ) 

จวบจนพ่อสิ้นชีวิต ข้าพเจ้าไม่เคยรู้เลยว่าพ่อนึกคิดอะไรบ้างในชีวิตของท่าน ด้วยเพราะท่านไม่เคยจะแชร์ความคิดใดๆ กับลูกๆ ท่านมักจะวางอำนาจ ซึ่งบอกตามตรงว่าข้าพเจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออำนาจของท่านในเชิงลบ ข้าพเจ้ากระแทกกระทั้น ข้าพเจ้าฟึดฟัดยามท่านออกคำสั่ง และเฝ้าบอกตัวเองว่าโตขึ้นข้าพเจ้าจะไม่เป็นเหมือนพ่อ ข้าพเจ้าโกรธท่านจวบจนวาระที่ท่านจากไป ซึ่งก็ไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายเพราะข้าพเจ้าเรียนอยู่ต่างประเทศ ผู้คนต่างพยายามปิดบังข่าวการตายของพ่อเพราะเกรงว่าข้าพเจ้าจะเสียการเรียน ต่อเมื่อข้าพเจ้าทราบข่าว จำได้ขณะนั้นยืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ (มานึกอีกทีเหมือนกำลังแสดงละครให้ตัวเองดู) ข้าพเจ้ามีสติครบสมบูรณ์ดี ข้าพเจ้าปล่อยหูโทรศัพท์เหมือนคนตกใจสุดขีด (จำจากละคร) พยายามเร่งเร้าความตกใจข้างในให้มันแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา เค้นแล้วเค้นอีกจะได้เสียใจกับการจากไปของบิดาเฉกเช่นลูกที่ดีควรเป็น แต่เปล่าเลยข้าพเจ้าทั้งไม่ตกใจ ทั้งไม่เสียใจ และไม่อยากร้องไห้ด้วยซ้ำ (ตลกไม่ออกละทีนี้) ข้าพเจ้าเป็นลูกที่เลวมากใช่ไหม? แต่มันจะกลับกันหากผู้ที่เสียชีวิตเป็นมารดาของข้าพเจ้า แม้เพียงจิตนาการไปเองหากวันหนึ่งวันใดแม่จากไป ข้าพเจ้าก็จะร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดไม่หย่อน เพราะข้าพเจ้าประจักแก่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของข้าพเจ้าตั้งแต่ยังแบเบาะจวบจนปัจจุบันถึงความรักความเสียสละที่แม่ปฏิบัติให้เห็น ข้าพเจ้าเห็นด้วยตา สูดดมด้วยจมูกถึงความยากลำบากของมารดา ความเครียดที่ต้องแบกรับปัญหาชีวิต และท่าทางก่ายหน้าผากที่เห็นอยู่ประจำ 

พ่อเป็นอย่างไร ณ ตอนนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจทราบได้ และไม่รู้ด้วยเช่นกันว่าอยู่ดีๆ ทำไมถึงระลึกถึงพ่อขึ้นมา หรือข้าพเจ้ากำลังจะตายตามพ่อไป (ร็อบบานาอ่าตีนาฟิดดุนยาฮาซานะฮฺ วาฟิลอาคีเราะหฺฮาซานะฮฺ วากีนาอาซาบัรนัร) 

จะโกรธ จะเกลียด จะรัก หรือจะหลง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรยั่งยืน การตายจากคือบทสุดท้ายของครรลองชีวิต ข้าพเจ้ากลับมาคิด ถึงจะโกรธท่านอย่างไร สุดท้ายเราก็ตายจากกันอยู่ดี หากเมื่อตายไปก็ตัวใครตัวมัน พ่อก็บุญกุศลของพ่อ ข้าพเจ้าก็หอบทั้งคุณความดีและกรรมชั่วติดตัว ทุกคนมีเป็นของตัวเองทั้งนั้น

พ่อกำลังเป็นเช่นไรข้าพเจ้าไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าความโกรธความชังได้มลายหายสิ้น เหลือแต่ความว่างเปล่าที่ว่า "เราเคยเป็นพ่อลูกกัน"

ทุกครั้งที่เจ็บป่วย มักจะมีความรู้สึกที่ว่าตัวเองกำลังจะตาย ความหวาดกลัววิ่งเข้าหาในทันใด หากตายไปจะเจออะไร จะสุขหรือทุกข์เช่นไร ข้าพเจ้ากลัวชีวิตหลังความตายเพราะตระหนักเป็นแม่นมั่นว่า ตนเองบกพร่องเหลือหลาย มีเพียงสิ่งประการเดียวที่หวังคือ ความยากลำบากที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพระองค์เป็น 2 เท่าของคนทั่วไปจะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบายามเมื่อยืนต่อหน้าพระพักตร์....ข้าพระองค์หวังมากไปไหม?

ถึงบอ....จาก รอมีซู





วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

การเป็นคนลักษณ์สี่ในโลกโลกแห่งความเป็นจริง

การเป็นคนลักษณ์สี่ที่ล่องลอย เสพติด และดำรงอยู่ในความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบ่อยครั้งแทบจะแยกไม่ออกระหว่างโลกของอารมณ์ที่โลดแล่นและโลกความเป็นจริงที่ต้องเปิดประตูเผชิญหน้ายามเมื่อเดินเข้าหาหรือสังคมเดินเข้ามา มันชั่งยากลำบากและแปลกแยก ยากลำบากก็เพราะเราพอใจและอยากมีชีวิตอยู่ด้วยอารมณ์ที่เร้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์อาดูรอันงดงาม อารมณ์สุนทรีย์ที่ล่องลอยสะเปะสะปะ อารมณ์น้อยเนื้อต่ำจิตดำดิ่งในลิขิต  และอารมณ์เฝ้าคอยเยิ่นเยอะและยาวไกล มันแปลกแยกในบริบทการมีชีวิตจริง เพราะเมื่อเผชิญหน้า พละกำลังในระดับไม่น้อยที่่ต้องนำมาใช้เพื่อแหวกม่านหมอกแห่งอารมณ์ในอันที่จะยอมรับการมีอยู่จริงของชีวิตอีกด้านที่ไม่มีอารมณ์เจือปน 


เราติดหล่มอารมณ์อยู่ตลอดเวลา และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเริ่มงานในโลกที่ปราศจากอารมณ์ เราจะรู้สึกแปลกแยก และต้องใช้ความพยายามเพื่อดำรงอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แม้การมีชีวิตอยู่ในโลกแห่งอารมณ์มักจะหดหู่ แต่เราก็พอใจที่จะอยู่ตรงนี้ เราไม่เคยพอใจโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่พอใจหลายอย่างในชีวิตจริง ซึ่งก็เป็นคุณลักษณะของคนลักษณ์นี้อยู่แล้วที่จะโหยหาสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตตนเอง การต้องการสิ่งที่ตนเองขาดหายเป็นสาเหตุที่เราต้องสร้างโลกแห่งอารมณ์เพื่อเข้าไปสัมผัสอารมณ์สิ่งที่เราไม่มี เพราะเราไม่รู้ว่าในชีวิตจริงเราจะมีโอกาสมีหรือสัมผัสสิ่งที่เราคิดว่ามันขาดหายไปหรือไม่


การดำรงอยู่ในโลกแห่งอารมณ์ในสภาวะที่เราก็ตระหนักเช่นกันว่า ข้างนอกนั่นมันไม่ได้เป็นอย่างที่เรารู้สึก อยากให้เป็นหรืออยากให้มี คำถามจึงก่อตัว แท้จริงชีวิตนี้ต้องการอะไรกันแน่ เราดำรงอยู่เพื่อเสพอารมณ์ในสิ่งที่เราขาดหายไปหรือ เราดำรงอยู่เพื่อรับรู้ว่าเราขาดหายสิ่งที่อีกหลายชีวิตมีนะหรือ เราดำรงอยู่เพื่อความเศร้าซึมในสิ่งที่เราเคยอยากมีอยู่จนปัจจุบัน (past perfect continue tense) แต่ก็ไม่เคยมี แล้วการมีชีวิตอยู่ในลักษณะนี้จะมีประโยชน์อันใด นอกจากเพื่อสรรสร้างงานศิลปะอันจรุงปรุงจากอารมณ์เล่า 

ความรักดูจะเป็นเรื่องใหญ่ (ไม่แน่ใจว่าได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกและสื่อสารสนเทศหรือเปล่า) ที่ข้าพเจ้าไม่อยากแตะ แต่ก็อดที่จะเขียนเพื่อเก็บไว้อ่านเองในอนาคตไม่ได้ ความรู้สึกขาดหายสิ่งนี้อย่างมหาศาลจากอดีตจวบจนปัจจุบันมันเหมือนความกดอากาศที่มองไม่เห็นแต่เป็นเหตุแห่งเม็ดฝน แน่นอนความรักสำหรับคนลักษณ์นี้มันย่อมพิเศษที่ไม่ดาษดื่น อารมณ์เศร้าจมที่อยากจะวิ่งไขว่คว้า แต่ท้ายสุดมีเพียงอารมณ์ที่วิ่งไป เหตุเพราะนั่นไม่ใช่ตัวตน ทำไมความโชคดีและความบังเอิญในความรักมักจะเกิดกับผู้คนทั่วไปแต่ไม่เคยเกิดกับตนเอง อารมณ์น้อยจิตต่ำใจ (ก่นด่าบ้างเล็กน้อย) ในลิขิตท่าน ไฉนเลยชีวิตผู้อื่นโชคดีแต่เนิ่นเยาว์แต่เราจวนจะแก่เฒ่าก็ไม่พบพา และจบลงด้วยกิรยาปลง คิดเพียงว่าโลกนี้คงไม่ใช่ที่ของเรา ดังนั้นลิขิตท่านจะกำหนดให้เป็นเช่นไร ข้าพเจ้าก็ผ่อนกายเปลือยจิตให้เป็นไปตามท่านเท่านั้นเอง 

หรือแท้ที่จริงมันไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ทำไมความรู้สึกข้าพเจ้ามักจะสร้างเส้นใยอารมณ์ห้อมล้อมตัวเองในสิ่งที่ขาดหาย ขวนขวายตามโลกแห่งการสื่อสาร แต่เมื่อปิดจอโน้ตบุ๊คลง จิตเศร้าจมกลับวิ่งเข้าหา ฟาดแซ่แห่งความเป็นจริงลงบนประตูความรู้สึก พยายามกระตุ้นเตือนให้ข้าพเจ้ารวบรวมพละกำลังเพื่อแหวกม่าน เดินเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอันเดียวดาย

ณ เส้นทางปัจจุบันข้าพเจ้าพอจะใจชื้นได้บ้างว่า ข้าพเจ้าไม่ถลำลึกเข้าไปในหมอกพงษ์ไพรแห่งอารมณ์และหาทางออกไม่เจอเช่นในอดีต อย่างน้อยหากได้นั่งสงบสติและอารมณ์ซักพัก อารมณ์คงที่ก็กลับเข้าบ้านได้ไม่ยากเย็น หรือลึกๆ แล้วข้าพเจ้าอาจจะปลงว่าที่นั่น "โลกแห่งความจริง" มันไม่ใช่ที่ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเพียงนำร่างกายเข้าหาโดยจิตใจไม่นำพา "ลิขิตท่านจะกำหนดให้เป็นเช่นไร ข้าพเจ้าก็ผ่อนกายเปลือยจิตให้เป็นไปตามท่าน" ข้าพเจ้าเหนื่อยกับการเศร้าโดยไม่ไขว่คว้า แล้วนั่งน้อยจิตในโชคชะตา แล้ว


SaLiNDonGBayU

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

Enneagram, เอ็นเนียแกรมคน 9 แบบ

เอนทรี่นี้มีเพลงเพราะๆ ให้ฟังขณะที่อ่าน แต่ท่านต้องไปกดเพลยเอาเองที่ด้านล่างครับ

เอ็นเนียแกรมคือการจำแนกคนออกเป็น ๙ แบบ ซึ่งแต่ละแบบใหญ่ๆ ก็ผกผันอันมีแบบอื่นๆ เข้ามามีอิทธิพลอย่างแปลกแยกไม่ออก สำหรับตัวข้าพเจ้าถือว่าศาสตร์นี้ใช้ค้นหา เข้าใจ และปรับปรุงตัวเองมากกว่าจะใช้จำแนกผู้อื่น หากเข้าใจและยอมรับตนมันย่อมไม่มีความลำบากอันใดที่จะยอมรับผู้อื่นและความเป็นตัวตนแห่งคนผู้นั้น สิ่งสำคัญคือเข้าใจและหาตัวเองให้พบก่อนเถิด

คนทั้ง ๙ แบบจะได้แจกแจงดังต่อไปนี้

๑.ลักษณ์ที่หนึ่ง คือ เพอร์เฟคชั่นนิสต์
ฉันอาจบกพร่องบ้าง แต่รับรองได้ว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลย (จิมมี่ ฮอฟฟา)
แรงจูงใจของคนลักษณ์หนึ่งคือ ต้องการดำเนินชีวิตในแบบที่ถูกต้อง ต้องการปรับปรุงตนเองและสิ่งต่างๆ รอบตัว

๒.ลักษณ์ที่สองคือ ผู้ช่วยเหลือ
เราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่ฉันไม่รู้เหมือนกันว่า คนอื่นนั้นเกิดมาทำไม (ดับบลิว. เอช. อาวเดน)
แรงจูงใจของคนลักษณ์สองคือ ต้องการเป็นที่รัก มีคนเห็นคุณค่า และแสดงความรู้สึกดีๆ ต่อผู้อื่น

๓.ลักษณ์ที่สามคือ ผู้ใฝ่สำเร็จ
ไม่มีอะไรสนุกยิ่งไปกว่าการทำงาน (โนเอล โควาร์ด)
แรงจูงใจของคนลักษณ์สามคือ ต้องการสร้างผลงาน ความสำเร็จ และหลีกเลี่ยงความล้มเหลว

๔.ลักษณ์ที่สี่คือ คนโรแมนติก
เรื่องอะไรฉันก็ทนได้แทบทั้งนั้น ยกกเว้นการที่ต้องอยู่ไปวันๆ อย่างจำเจ (เกอเต้)
แรงจูงใจของคนสี่คือ ต้องการสัมผัสความรู้สึกของตัวเอง ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจ ค้นหาความหมายของชีวิตและหลีกเลี่ยงความธรรมดาสามัญ

๕.ผู้สังเกตการณ์
แค่คอยมองดู คุณก็สามารถสังเกตเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย (โยคี เบอร์รา)
แรงจูงใจของคนลักษณ์ห้าคือ ต้องการที่จะรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ มีความพอเพียงในตัวเอง และไม่ทำตัวให้ดูเหมือนคนโง่

๖.นักปุจฉา
ฉันตั้งใจว่า จะกลัวเพียงวันละครั้งก็พอ (ชาร์ลส์ เอ็ม. ชูลซ์)
แรงจูงใจของคนลักษณ์นี้คือ ต้องการความมั่นคง ลักษณ์หกแบบ กลัวแล้วถอย จะมีท่าทางที่กลัวและมองหาการยอมรับ ส่วนลักษณ์หกแบบ สู้ความกลัว จะเดินหน้าเข้าชนสิ่งที่ทำให้กลัว ทั้งสองแบบนี้อาจปรากฏอยู่ในตัวคนเดียวกันได้

๗.นักผจญภัย
คุณเกิดมาครั้งเดียว แต่ถ้าใช้ชีวิตให้เป็น ครั้งเดียวก็เกินพอ (โจ อี. ลูอิส)
แรงจูงใจของคนลักษณ์เจ็ดคือ ต้องการหาความสุข คิดแผนทำกิจกรรมสนุกๆ สร้างสิ่งดีๆ ให้กับโลกและหลีกเลี่ยงเรื่องเจ็บปวดทุกข์ใจ

๘.ผู้ปกป้อง
ถ้ายังโกรธอยู่ก็อย่านอน สู้กับมันให้หายข้องใจ
แรงจูงใจของคนลักษณ์นี้คือ การพึ่งตัวเอง แสดงความเข้มแข็ง และหลีกเลี่ยงความรู้สึกอ่อนแอหรือต้องขึ้นอยู่กับผู้อื่น

๙.ผู้ประสานไมตรี
ฉันมักจะผัดหลายวัน ประกันหลายพรุ่ง
แรงจูงใจ รักษาความปรองดอง กลมกลืนกับผู้อื่นและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง คนลักษณ์นี้มักรับเอาลักษณ์ของทั้งลักษณ์แปดมาไว้ในตัว จึงมีความแตกต่างในบุคลิกระหว่างลักษณ์เก้าด้วยกัน บางคนอาจสุภาพอ่อนโยน ส่วนบางคนอาจรักอิสระและดูมีอำนาจ

จากหนังสือ "เอ็นเนียแกรมคน ๙ แบบ มองคนด้วยมุมใหม่ เปลี่ยนใจให้เป็นสุข--Enneagram Made Easy"

คาดว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ได้เข้ามาอ่าน ข้าพเจ้าได้อ่านอย่างละเอียดในลักษณ์ของตัวเองและแปดสิบห้าเปอร์เซ็นที่เขียนไว้ตรงตามความเป็นจริงที่กอปรเป็นตัวของข้าพเจ้า มันช่วยให้เราตระหนักรู้และรู้เท่าทันตัวตนว่าแท้ที่จริงขณะที่เรามีอากัปกิริยาเช่นนั้นออกไปเรากำลังเป็นอะไร หากสิ่งนั้นคาดว่าจะเป็นการทำร้ายตัวเองและผู้อื่น การรู้เท่าทันย่อมมีประโยชน์อย่างเหลือคณา

ด้วยความตื้นตันในคุณประโยชน์ข้าพเจ้าจึงคัดลอกบางส่วนเพื่อเป็นวิทยาทานแก่เพื่อนร่วมโลก

salindongbayu


ผ่าตัดสันจมูกคดและโลกที่แก่ชรา

กาลเวลาก้าวย่าง ฤดูกาลผันเปลี่ยนและแปลกประหลาด หนาวร้อนแปลกแยกแต่คู่กัน เดือนสองเดือนมานี้ข้าพเจ้าใช้เนื้อหนังมังสาของตนเองเป็นสักขีพยานถึงความแก่ชราของโลกที่เราอาศัย ร้อนตับแตกผ่านไปแค่วันสองวันกลับหนาวจับจิต ชนเผ่ามายาบอกว่าปีหน้าคือวันโลกาวินาศ ศาสนาของข้าพเจ้าบอกว่ามันต้องวินาศแน่นอนแต่อยู่นอกเหนือการหยั่งรู้ของมวลมนุษย์เพราะมันเป็นสิทธิแห่งพระองค์ 

พฤหัสบดีที่ล่วงมาข้าพเจ้านำพาตนเองขึ้นเขียงให้หมอที่จุฬาลงกรณ์รักษาสันจมูกคด เป็นคนไม่ค่อยจะมีธุระปะปังกับโรงพยาบาลมานานนม สองสามเดือนมานี้เข้าโรงพยาบาลดั่งสวนสนุก สุดท้ายตัดสินใจลองเอาไอ้ที่คดอยู่ในจมูกออกซะที ไม่อยากคิดว่าหมอทำอะไรกับรูจมูกของตนเอง (ให้เสียวสันหลังได้ทุกครั้งไป) สิ่งที่จำได้ดีคือการที่หมอเอาสิ่วมาตอกกระดูกให้รูจมูกนี่สิ มันไม่เจ็บหรอกเพราะฤทธิ์ยาชานั้นแรงได้ใจดีนักแล แต่คิดอยู่ในใจเองว่า เฮ้ย คุณหมอ ต้องอะไรขนาดนี้เลยเหรอ จมูกคนนะครับไม่ใช่ไม้แกะสลัก กระบวนการทั้งสิ้นทั้งปวงไม่ได้เจ็บมากมาย ทนนอนกำมือตนเองได้สบาย แต่อยากให้มันเสร็จๆ เสียเร็วๆ

ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะทำให้อาการง่วงที่เป็นอยู่จะหายไปหรือเปล่า (อันที่จริงก็ไม่ได้หวังด้วยซ้ำว่ามันจะหายไปเพราะการผ่าตัดครั้งนี้) คิดเพียงว่าก็ยังดีกว่าปล่อยปละละเลยไม่ดูดำดูดีให้มันรบกวนอารมณ์และวิถีชีวิตเช่นที่คนปกติควรจะมี

การเดินเข้าออกโรงพยาบาล ดิ้นรนศึกษาถึงอาการโรคที่เป็นอยู่ ไปมาก็หลายแห่ง และที่คิดจะไปก็อีกหลายที่ ขนานไปกับเหตุการณ์โลกที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน พันธมิตรโจมตีลิเบีย จราจลในประเทศอาหรับ ซินามิและนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ฤดูกาลและอากาศโลกแปรปวน ข้าวยากหมากแพง ข้าพเจ้าไม่ได้หมดอาลัยตายอยากต่อเหตุการณ์โลก เพียงแต่หากกลับมาดูตัวตนที่กำลังต่อสู้กับโรคภายในตนซึ่งถือเป็นระดับปัจเจกชน กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่โลกเรากำลังประสบอยู่ซึ่งถือเป็นระดับองคาพยพของมวลมนุษย์ชาติโดยเฉพาะฤดูกาลที่กำลังส่งสัญญานอย่างขมีขมันว่าใกล้ถึงเวลาแล้วนะ แล้วที่ข้าพเจ้ากำลังพยายามบำรุงรักษาตนเองเพียงเพื่อจะรอคอยดูความโกลาหลในโลกงั้นหรือ 


ข้าพเจ้าเพียงจะบอกว่าหากเปรียบเทียบระหว่างการดิ้นรนของปัจเจกชน กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและทบทวีคูณในโลก ณ ปัจจุบัน มันชั่งห่างไกลกันเสียเหลือเกินแต่กลับส่งผลกระทบได้ใกล้ชิดอย่างไม่น่าเชื่อ 

salindongbayu

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หากชีวิตคือการต่อสู้

หากชีวิตได้ล่วงผ่านวันเวลาแห่งวัยกำหนัดเริ่มแตะขอบช่วงชีวิตแห่งวัยกลางคน ข้าพเจ้าเริ่มประจักชัดว่า ชีวิตนี้คือแนวทางอันเลี้ยวลดแห่งการต่อสู้อย่างแท้จริง ซึ่งในองศามุมกลับผู้ที่ยอมแพ้ย่อมตกขอบตามเรี่ยรายทาง ชีวิตคือนิยามของการไม่ยอมแพ้ อาจจะท้อได้แต่ยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะความสำเร็จใดๆ ของผู้คนในอดีตล้วนบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่เคยยอมแพ้ ทุกความสำเร็จล้วนไร้ความหมายหากเทียบกับความสุขตามรายทางแห่งการต่อสู้ ขณะที่กำลังต่อสู้นั่นแลคือบริบทแห่งความสุข สุขที่ได้เห็นการเขยิบก้าวอย่างกระชั้นชิดในลู่ทางความสำเร็จ มีสุขขณะนั่งบอกตนเองอย่างคนเก็บกดว่า กูจะไม่ยอมแพ้แม้ห้วงเวลานั้นจะมืดแปดทิศก็ตามที หากเมื่อมองเห็นแสงสว่างเพียงนิดความสุขมหาศาลกลับถาโถมเข้าใส่ในชั่วขณะ


ข้าพเจ้ากำลังต่อสู้กับสุขภาพของตนเอง มันชั่งเป็นอะไรที่น่าทดท้อเหลือกำลัง จุกจิกหยุมหยิม หากแต่ในภาพรวมกลับส่งผลกระทบลูกโซ่ ข้าพเจ้ากำลังหาต้อตอของปัญหาเพื่อจะได้ทุ่มเทสัพพะกำลังต่อสู้อย่างถูกจุด เพราะผลกระทบลูกโซ่ทั้งหลายก็ต้องการๆ ไม่ยอมแพ้เช่นกัน หากทุ่มเทความไม่ยอมแพ้ไม่ถูกจุดมันจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อการแก้ปัญหาลูกโซ่ 

ต้องขอบใจกีฬาแบดมินตันมากทีเดียว ที่สอนให้ข้าพเจ้าประจักชัดในความรู้สึกไม่ยอมแพ้ ข้าพเจ้าแข็งขืนไม่ยอมแพ้ต่อความเก่งกาจของผู้อื่น ข้าพเ้จ้าแข็งขืนไม่ยอมแพ้ต่อระดับความสามารถของตนเอง จึงบังเกิดความรู้สึกว่าข้าพเจ้าต้องเรียนรู้เรื่อยๆ อย่างไม่ยอมแพ้ การเรียนรู้กีฬาชนิดนี้มันไม่ใช่ความสนุกสนานอย่างที่คิดเช่นเริ่มแรก หากแต่ข้าพเจ้ากำลังเรียนรู้ชีวิตผ่านกีฬาชนิดนี้ ซึ่งก็ให้เห็นชัดต่อสายตาและความรู้สึกของข้าพเจ้าเองแ้ล้วว่า เมื่อความมุ่งมั่นและการไม่ยอมแพ้หลอมรวมกัน จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงแม้จะครั้งละน้อยก็ตาม และการเปลี่ยนแปลงในพัฒนาการนั่นแลคือความสุข 


ข้าพเจ้ามีอะไรหลายๆ อย่างที่ยังรอฉนวนการไม่ยอมแพ้ให้ได้ใส่เป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต, ความฝัน, เป้าหมาย, สาธารณประโยชน์, และบุพการี แต่ตอนนี้ขอยัดเยียดการไม่ยอมแพ้เข้าไปในปัญหาสุขภาพเสียก่อนเถอะ