วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บันทึกไทยปี ๒๕๕๓ / 2010

๑๖.๕.๒๐๑๐
พีเอ็มคอนโดทาว์น

วันนี้เหตุการณ์ปะทะกันที่ราชประสงค์และบริเวณโดยรอบยังไม่สงบและดูทีท่าจะรุนแรงอยู่เรื่อยๆ 

เชื่อว่าประชาชนคนไทยหลายหมู่เหล่าคงสับสนเบื่อหน่ายและท้อแท้ ด้วยการมองไม่ออกว่าประเทศตนจะเดินไปข้างหน้าในทิศทางใด หรือจะเดินวนอยู่กับที่ ซึ่งก็หมายถึงความล้าหลังและหายนะนั่นเอง เพราะการไม่เคลื่อนไปไหนในขณะที่สิ่งรอบข้างเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา นั่นมิใช่ว่าเรากำเดินถอยหลังหรอกหรือ การจะโทษฝ่ายใดหรือส่งเสริมอีกฝ่ายในเวลานี้ดูจะไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะประเทศเราได้กลายที่พำนักหลักแหล่งของความไม่แน่นอน ความตึงเครียด และความอลหม่าน ในสายตาชาวโลก หรืออาจจะเป็นสายตาคนไทยประเทศนี้ด้วยซ้ำไป แม้ว่าคนไทยกลุ่มใหญ่จะพำนักอยู่รอบนอกสถานการณ์และยังคงใช้ชีวิตปกติสุขดี โดยพยายามติดตามข่าวสารตามช่องทางต่างๆ มากมายในทุกวันนี้ แต่ใจนั้นคงเหนื่อยอ่อนกับการติดตามเข่าวสารที่มิได้นำพาข่าวดีมาให้รื่นหูแม้แต่น้อย

บางครั้งก็ถามตนเองว่าทำไมข้าพเจ้าต้อง (มักจะ) นำพาความรู้สึกตนเองไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นรอบกายหรือเข้ามาในเส้นทางชีวิตอันมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อชีวิตข้าพเจ้าโดยตรงด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่าของพวกนี้มิได้ยังประโยชน์แก่ความรู้สึกข้าพเจ้าเลย มิหนำซ้ำยังสร้างความรันทดใจให้มากมาย แต่มันก็เหมือนขนมหวานที่พยายามบอกกับตนเองว่าจะไม่ทานอีกแล้ว แต่เห็นก็ต้องรีบตะครุบทุกทีไป เหตุการณ์พวกนี้ก็เช่นกัน บอกกับตนเองว่าไม่อยากรับรู้ไม่อยากรู้เห็นแต่เมื่อมันอยู่แค่ปลายจมูกเพียงบรรจงปลายนิ้วมันก็ออกมาล้นทะลักอยู่หน้าจอ

ตามวิสัยความเป็นไปของสรรพสิ่งในแนวครรลองของพระองค์ท่าน ทุกสิ่งมีขึ้นมีลง เฉกเช่นน้ำมีขึ้นย่อมมีลง วงล้อเมื่อมันหมุนตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุด มันก็ถึงเวลาที่มันจะต้องเคลื่อนคล้อยต่ำลงมาเรื่อยๆ เมื่อถึงจุดต่ำสุดมันก็หมุนตัวเองกลับไปที่สูงอีกรอบ อาณาจักและจักรวรรดิ์ก็ไม่แตกต่าง มีอาณาจักที่ล่มสลายไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ให้ถามผู้คนในยุคนั้นว่าเชื่อหรือไม่ว่าอาณาจักของตัวนั้นจะมลายหายจากแผนที่โลก คำตอบที่ได้รับคงเป็นแต่เสียงหัวเราะขบขัน อาณาจักที่ข้าอาศัยอยู่นี้แข็งแกร่ง พื้นที่ขอบเขตขันฑสีมาก็กว้างใหญ่ไพศาล กิจการรุ่งเรื่อง อยู่ดีกินดี แต่ไฉนเลยเราได้ถึงยินเพียงแต่ชื่อของอาณาจักอันดาลูเซีย จักรวรรดิ์ออโตมาน หรือแม้แต่สหภาพโซเวียต 

เมืองไทยในช่วงที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องเดือดร้อนจากการรุกรานของชาติตะวันตก แม้ไทยจะต้องเสียดินแดนไปบ้างแต่ก็สืบทอดและครองความเป็นไทยมาได้ตลอดรอดฝั่ง ความเจริญรุ่งเรืองขยับขยายไม่น้อยหน้าหรืออาจจะมากกว่าประเทศเพื่อนบ้านในละแวกเดียวกันเสียด้วยซ้ำ ในขณะนั้นคนอื่นต้องพลิกฟื้นประเทศขึ้นมาใหม่ พยายามอย่างมากที่จะรวมเอาประเทศที่พินาศย่อยยับกลับมาเป็นปึกแผ่น แต่ไทยในขณะนั้นได้ยืนอยู่บนแผ่นดินประเทศตนที่ยังไม่ต้องลงมือลงแรงกันขนาดนั้น จึงเป็นข้อได้เปรียบที่จะก้าวยาวกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อันจะเห็นความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจที่ล้ำหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกัน แน่นอนว่าในยุคนั้นคงจะไม่ใช่จุดสุดยอดของความเป็นสยามหากเทียบกับความรุ่งเรืองและแผ่ขยายของความเป็นอยุธยาและจักรรีในช่วงต้นๆ ที่สามารถยึดครองประเทศเพื่อนบ้านรวมทั้งดินแดนลังกาสุกะ

แต่นั่นก็ผ่านมานานมาก มาวันนี้เห็นได้ชัดว่าประเทศไทยได้ร่นถอยหลังไปมากหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านประเทศเดิม ล้าหลังทางความคิด การศึกษา และความซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างที่สุดว่าจากจุดตกต่ำที่กำลังดำเนินอยู่ แม้จะทุกข์ใจที่ได้เห็น จะเป็นหมุดอันใหม่ที่จะปักลงเพื่อนับถอยหลังสู่การเคลื่อนตัวของตัวหมุนครรลองของพระองค์ให้ประเทศเราขึ้นสู่ที่สูงอีกครั้ง


ต่อไปนี้เป็นบทคัดลอกจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๑๕๕๓



พี่น้อง-ประชาชนครับ ท่านจะทุกข์ จะหวาดกลัว จะท้อแท้-สิ้นหวัง ในภาวะคล้าย "บ้านแตก-สาแหรกขาด" นี้ก็ตามเถิด แต่ขอให้ "มีสติ" ในการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง  และขอให้มั่นใจว่า พวกเรา-คนไทยทุกคนจะต้องก้าวผ่าน "มิคสัญญี" ร้ายแรงในรอบ ๒๒๘ ปีแห่ง "กรุงรัตนโกสินทร์" นี้ร่วมกันไปได้แน่นอน
 ถึงแม้ ณ กาลนี้ ยอดปราสาทราชวัง และวัดพระแก้วมรกต "ศูนย์รวมใจ" ของไทยเรา จะหม่นเศร้าอยู่ในม่านหมอกแห่งควันดำที่คลุ้มคลุมเมืองไปบ้าง นั่นก็ขอให้เข้าใจเถิดว่า ก่อนฟ้าเปิด "สู่อนาคตใหม่" ที่สดใสของไทยเรา วิบากกรรมที่เราทุกคนร่วมสร้างกันไว้ ณ กาลนี้...เราทั้งหลาย ได้ชดใช้แล้ว!
 เรา จะรับอนาคตใหม่ ก็ต้องจ่ายให้อดีดผ่านปัจจุบันนี้ไปบ้างเป็นธรรมดา อย่าเอาแต่โทษใคร อย่าทุกข์ทนหม่นเศร้ากันไปเลย ตู่เอ๋ย ณัฐวุฒิเอ๋ย และทุกคนในแกนนำ นปช.ไม่มีใครผิด-ใครถูกหรอก เพียงแต่สิ่งที่ทำนั้น ฝืนมติฟ้า-ดิน หยามหมิ่นแผ่นดินบรรพบุรุษสร้าง และสวนทางใจแห่งมหาประชาชนไทย............


 http://www.thaipost.net/news/170510/22290

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การตั้งจิต (เนียต)

15/5/2010
PMcondo town
Navamin, BKK

วันนี้มีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์มี
คนตายไปแล้วหลายศพ และที่บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อคืนเสธแดงโดนยิงหัว

การตั้งจิต (เนียต)

การเขียนเรื่องนามธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนมานั้น หากเมื่อจะเริ่มเขียนหัวข้อใหม่ มักจะมีคำถามวนเวียนอยู่ซ้ำไป อ้าวแล้วที่เขียนๆ ไปคนเขียนเองเอาไปปฏิบัติจริงซักกี่อย่างเชียว บางครั้งก็เลยรู้สึกว่าการเขียนของเรานั้นเป็นเพียงการระบาย ประโยชน์อันใดไม่รู้ว่าจะไปถึงผู้อื่นหรือเปล่า ในเมื่อคนเขียนสักแต่ระบายความคิดแต่งแต้มด้วยการประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำแต่มิได้ลงมือปฏิบัติ
แต่ก็เอาเถอะถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็เลี่ยงการเขียนไม่พ้น ยังงัยมันก็ต้องเขียน อยู่ที่ว่าจะเอามาให้คนอื่นอ่านหรือเปล่าแค่นั้นเอง

การตั้งจิต (เนียต ตามศัพย์อาหรับ) นั้นลองสังเกตและเปรียบเทียบในเหตุการณ์ต่อไปนี้

๑. เราเดินไปที่ก๊อกน้ำ บรรจงเปิดก๊อกน้ำและตั้งจิตว่ากูนี้จะอาบน้ำละหมาดซุฮรีเพื่อเอกองค์ท่าน

๒. เราปูพรมผินหน้าสู่กิบลัต หรืออาจจะเดินไปมัสยิดก็ตามแต่ จรดเท้าทั้งสองข้างยืนตรงผินหน้ามุ่งทิศกิบลัต และตั้งจิตว่า กูนี้ละหมาดซุฮรี ๔ รอกาอัตมะอฺมูม หรือไม่มะอฺมูมก็ตามแต่ เพื่อเอกองค์อัลลอฮฺ

๓. เดินกินลูกชิ้นอร่อยมากก มือซ้ายถือถุงน้ำแฟนต้าน้ำส้ม ๑๒ บาท เหลือบเห็นยัย\ ยายแก่นั่งขอทาน ความเอน็จอนาจจุกขึ้นมาถึงคอ ครั้นจินตนาว่ายัย\ ยายแก่คนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายแม่กูเสียนี่ แล้วทำไมแม่กูถึงต้องมาลำบากลำบนเป็นขอทาน ด้วยความสงสารจับจิตหย่อนเงินให้ ๑๐ บาท

๔. เจอเอกสารแจกฟรีหยิบขึ้นมาอ่านกล่าวถึงเรื่องการให้ทาน อ่านแล้วน่าเบื่อพูดเรื่องเดิมๆ อยู่ได้ วางมันไว้ตรงนั้นแหละ ถึงเวลาละหมาดก็ไปตามปกติ แต่มีอะไรพิกลไม่รู้มาได้ยังงัย จากที่จิตล่องลอยอยู่ สิ่งที่พุ่งเข้าชนความรู้สึกเมื่อกี้ทำให้รู้สึกกลัวตายและกลัวตกนรก น้ำตาปริ่มๆ ใหลออกมาเทียว ละหมาดเสร็จก็หย่อนตู้บริจากมัสยิด ๑๐ บาท เพราะนึกได้จากเอกสารที่เผอิญได้อ่านเมื่อเช้า

มีเหตุการณ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่สิบเหตุการณ์และอีกกี่สิบลักษณะที่เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือบังเอิญผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตเราก็ตามแต่ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อันหลอมรวมเป็นการดำเนินชีวิตของเราในหนึ่งวันนั้น จากมุมมองอิสลามที่ถูกปลูกฝังในความคิดและวิถีดำเนินชีวิต สิ่งแรกที่เคยร่ำเรียนมาคือ إنما الأعمال بالنيات  ทุกกิจการงานใดจะแตกต่างหรือไม่แตกต่างจากกิจกรรมธรรมดาสามัญก็ด้วยการตั้งจิต การทำสิ่งนี้สิ่งนั้นเพื่อเอกองค์อัลลอฮฺเท่านั้น

ทีนี้มันก็มาถึงคำถามสำคัญที่ข้าพเจ้ามักจะถามตนเอง คือ แล้วการตั้งจิตเพื่อเอกองค์ท่านนั้นเป็นเช่นไร? เป็นเช่นป้ายแขวนตามมัสยิด ๓ จังหวัดชายแดนใต้ที่เขียนระบุว่า "ฉันเข้ามาและจะอิอตีกาฟในมัสยิดนี้เพื่อนอัลลอฮฺซุบฮานาฮูวาตาอาลา" หรือเหมือนกันตั้งจิต นาวัยตู บลา บลา บลา ก็ว่ากันไป

พึงสังเกตให้ดีลักษณะและความรู้สึกการตั้งจิต (ตามประสบการณ์เลยวัยเบญจเพศของข้าพเจ้านั้น) น่าจะแบ่งได้ ๒ ลักษณะ
   
         ๑ . ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูต่างๆ 
         ๒. ลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตเพ่งเลงแต่ความรู้สึกมันบอกเองว่าฉันอยากทำความดีนี้ ณ เวลานั้น

ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูโดยภาพรวม คือ การที่เราจะอยู่นิ่งๆ จิตก็อ่านประโยคอยู่ในใจว่า ฉันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเอกองค์ท่าน มันเป็นการทำงานของความนึกคิด + กับการบีบคลายของหัวใจ หรือ หัวใจกายภาพนั้นเอง ซึ่งก็ปราศจากความรู้สึกใดๆ (ไม่เชื่อก็ลองสังเกตเอง เมื่ออาบน้ำละหมาดหรือยามตักบีร) ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่ามันคงจะเป็นลักษณะของกิจการใดที่เรากระทำจนเคยชิน เราก็เลยไม่มีความรู้สึกร่วมขณะตั้งจิต แต่เมื่อลองทำกิจกรรมอื่นที่ต้องมีการตั้งจิตนาวัยตูเป็นกิจจะลักษณะ ข้าพเจ้ากลับพบว่าตนเองก็เป็นเหมือนเคยคือก็ไม่ได้มีความรู้สึกซ้าบซ่านในการตั้งจิตทำดี (ข้าพเจ้ากล่าวถึงตนเอง it is not applicable to everybody) แปลกจริงการงานเช่นนี้ การตั้งจิตในงานลักษณะนี้ควรจะมีความรู้สึกร่วมด้วยสิ เพราะเราทำแล้วก็ไม่ได้เงิน ทำแล้วก็ไม่ได้อิ่มท้อง แต่เราต้องการความอิ่มใจ หากแต่ยามนาวัยตูต่างๆ ใจมันไม่รู้สึกรู้สา แล้วใจมันจะไปอิ่มได้อย่างไร ข้าพเจ้าจึงคิดเอาเองว่าถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเพียงการทำงานของหัวใจกายภาพนะสิ

ส่วนลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตแต่ความรู้สึกมันจุกคออยู่นั่นแล้ว เช่นยามใดที่พระองค์ท่านทรงดลบันดาลให้หัวใจเราเกิดรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมยามละหมาด น้ำตาปริ่มๆ จะไหล หลังละหมาดเสร็จมันอยากทำความดีไปเสียหมด อยากอ่านอัลกุรอาน อยากให้ทาน คืนนี้กูจะต้องตื่นละหมาดตะฮูยุด (สุดท้ายหลับสนิท) หรือการทำดีลับตาคน แม้ว่าขณะกระทำความดีนั้นเราจะพยายามตั้งจิตตั้งบรรทัดนียัตนาวัยตูว่าฉันทำเพื่อพระองค์ท่าน การทำดีลับตาคนมีเหตุผลมากมาย เช่น ความรู้สึกอยากทำดีในขณะนั้น แต่ก็กลัวว่าการทำดีนั้นจะสูญเปล่า เราจึงพยายามยัดบรรทัดนาวัยตูเข้าหัวใจขณะปฏิบัติไปด้วย (เรียงตามลำดับเลยนะ ความรู้สึก + เพื่ออัลลอฮฺ ) และก็มีบ่อยครั้งไปที่เราทำดีลับตาคนก็เพื่อความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์เท่านั้น (เพื่ออัลลอฮฺ + ความรู้สึกอาจมาทีหลัง)

ข้าพเจ้าถูกยัดเยียดความคิดที่ว่า "เราควรเนียตเรียนเพื่อศาสนาเพื่ออัลลอฮฺ" ข้าพเจ้ารับมาแล้วก็เงียบแต่หัวใจมันแหกปากถาม แล้วควรและเป็นยังงัยไอ้การเนียตเพื่ออัลลอฮฺเนี้ย ที่โรงเรียนเขาก็พูดกันแต่ก็ไม่มีใครให้ความกระจ่างนี้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาพูดกันว่าเราควรเรียนเพื่อศาสนา แล้วก็เรียนกันไปเรื่อยๆ จบแล้วก็ออกมาทำงาน ซึ่งก็เหมือนคนทั่วไป แล้ว significant ของเนียตมันอยู่ตรงไหน

The point of this article is ที่บอกว่าทุกการกระทำในชีวิตนี้เราควรเนียตเพื่อพระองค์มันจะได้ไม่สูญเปล่า แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อกล่าวถึงการทำเพื่อพระองค์ เรามักจะใช้ใจกายภาพนึกอยู่ในใจว่าเราทำเพื่อพระองค์ ทั้งที่บางครั้งใจมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แข็งกระด้าง เช่นนั้นแล้วมันจะเป็นไปเพื่อพระองค์จริงๆ หรือ เพราะการทำดีนั้นด้วยตัวมันเองก็คือกิจกรรมหนึ่งที่เราทำ หากแต่แฝงด้วยบริบทอีกหลายๆ บริบทที่เป็นตัวกำหนดว่านั่นคือการทำดี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าความรู้สึกยามกระทำต่างหากที่บอกว่าเราทำเพื่ออัลลอฮฺ หากไม่รู้สึกมันก็แค่การทำดีธรรมดาๆ เท่านั้น

ปล.        ทั้งหมดเป็นความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียวจะผิดจะถูกผู้อ่านควรพิจารณาเอง
ปล๒      ที่ต้องเขียนคำบางคำเป็นอังกฤษนั้นเพราะยามที่ลงดร๊าฟในกระดาษความคิดมันออกมาเป็นอังกฤษ เลยไม่อยากตัดอรรถรสขณะเขียนนั้นทิ้ง


วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไปเจอมา

หลักจากวันนี้จะโพสต์บทความวันละ ๑ บทความเป็นเวลา ๑ อาทิตย์ (จะเอาไปสมัครแอดเซนซ์)


วันนี้ลองควานหาความคิดและความรู้สึกเอามาเป็นต้นทุนในการเขียน แต่ไม่เจออะไร เลยต้องขุดของเก่าๆ เอามาขายอีกแล้ว


ข้อความด้านล้างนี้ได้มาจากการอ่าน พบเจอบรรทัดไหนถูกใจก็จดไว้ เอามาแชร์ๆ กันอ่านเผื่อจะได้ประโยชน์กัน


๑. เราหันซ้ายหันขวาก็เจอะแต่พระหมอและครู ซึ่งก็ให้บังเอิญว่าแต่ละคนกำลังเล่นบทบาทที่สอดรับกับ "จริตเสพติดครูบาอาจารย์ของเราพอดี"


๒. ชีวิตที่สงบเย็นนั้นปฏิเสธซึ่งการเป็นประโยชน์มิได้ (ชอบมาก)


๓. การเมืองเรื่องอุตสาหกรรมครอบครัวมันก็น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้


๔. อย่าปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยเพราะหากคุณไม่เริ่มต้นผลคงไม่เกิด เราไม่จำเป็นต้องเห็นตลอดเส้นทางหรือเห็นเส้นทางทั้งหมด แต่หากคุณเริ่มและลองดูคุณอาจจะเห็นทางอีกหลายทางซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้


๖. อุปสรรคคือความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง


๗. เมื่อใดที่ความมุ่งมั่นของคุณออกเดินทาง


๘. ข้าพเจ้าพยายามบีบเค้นความคิดของตนเอง หากว่าข้าพเจ้ามิได้เติบโตจากบริบทและแวดล้อมในอดีต ผลพวกจะปั้นแต่งและเสริมส่งให้ข้าพเจ้าเป็นเช่นไรในปัจจุบัน 




พรุ่งนี้จะมาโพสต์เรื่อง "การตั้งจิต หรือ เนียต" keyword: ใจกายภาพ กับ จิตภายใน

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เวลาเมื่อต้องตาย

คุณเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม? คุณเป็นคนที่รู้ตนเองว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต จะไปไหนเพื่ออะไรและเพื่อใคร? งั้นลองมาลิสต์ดูกันหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าก็จะลิสต์ของตนเองออกมาเหมือนกัน


ข้างล่างนี้เป็นรายนามเป้าหมายความต้องการของข้าพเจ้าที่ต้องการให้สำเร็จในอีก ๕ ปีข้างหน้าแบบไม่โกหกตัวเอง
แผนงาน ๕ ปี

๑. มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
๒. มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง
๓. มีรถ ๑ คัน
๔. มีครอบครัว

ขั่นตอนต่อไปให้เอาเป้าหมายทั้งหมดที่ลิสต์ออกมาเขียนลงในกระดาษอีกแผ่นนึงโดยที่ให้เพิ่มประโยคต่อไปนี้ข้างหน้าแต่ละเป้าหมาย "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่" และให้เว้นพื้นที่ข้างหลังประโยคเล็กน้อยเพื่อเขียนคำตอบ ประโยคเต็มๆ ที่จะได้ตัวอย่างเช่นเป้าหมายที่หนึ่งของข้าพเจ้าก็จะเป็นดังนี้ "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน"

คำตอบที่คุณตอบต้องเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุด เรามีคำตอบให้คุณเลือกสองคำตอบเท่านั้น นั่นคือเสียใจกับไม่เสียใจ ทีนี้ก็มาดูคำตอบกันว่าเป็นยังงัย ของข้าพเจ้าออกมาลักษณะนี้

๑. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
คำตอบคือเสียใจ

๒. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง        คำตอบ ไม่เสียใจ
๓. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มี 1 รถคัน                         
คำตอบ ไม่เสียใจ

๔. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีครอบครัว                 
คำตอบ ไม่เสียใจ

คำตอบเหล่านี้ของข้าพเจ้าเป็นคำตอบที่ได้จากความเป็นตัวตนอันเป็นแรงผลักดันจากบริบททั้งสิ้นทั้งปวงที่บรรจงตัดแต่งและเสริมสร้างให้เป็นเช่นข้าพเจ้าทุกวันนี้ คำตอบของคุณอาจจะแตกต่างกันออกไปเพราะมันย่อมจะอ้างอิงถึงความเป็นตัวคุณ จากนั้นเรามาดูคำตอบกัน


คำตอบแรกของข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในหลายๆ เป้าหมาย ๕ ปี ทำไมต้องเสียใจกับเป้าหมายนี้ถ้าหากต้องตายไปแล้วยังทำไม่ได้ มันมาจากฐานความคิดที่ว่า เราเกิดมาแล้วต้องตายไปโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นเลยหรือ! มันชั่งเป็นหนึ่งชีวิตที่ต่ำเตี้ยและไร้ค่าสิ้นดี ด้วยชุดความคิดที่อิงศาสนาอิสลามที่ว่า ตายไปเราต้องไปเจออะไรหากไม่มีคุณความดีติดตัวดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าก่อนตายควรทำความดีเพื่อการเป็นอยู่ต่อไปหลังความตายมันจะได้สะดวกสบาย ไอ้ความดีที่ให้ผลประโยชน์ในระดับปัจเจก ทุกคนเขาก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีคุณความดีในระดับวงกว้างที่เผื่อแผ่ผู้คนมันคงเหมือนบ้านเช่าที่เราให้เขาเช่า ซึ่งเขาก็ต้องจ่ายค่าเช่าให้เราทุกเดือนไปแม้เราจะกระเษียรตัวเองแล้วก็ตาม ห้องเช่านั้นหรือหลายๆ ห้องเช่าก็ยังคงส่งต่อดอกผลให้เราอยู่เรื่อยไป


ทีนี้ก็มาดูเรื่องเวลาโดยอ้างอิงจากคำถามและคำตอบข้อแรกของข้าพเจ้า เมื่อได้คำตอบข้าพเจ้าหันมาดูตนเเอง ณ ขณะนี้ วันๆ เราทำอะไรบ้าง เวลาที่เราเสียไปในแต่ละวันมันตอบคำถามข้างต้นได้ดีแค่ไหน สิงที่ข้าพเจ้านั่งทำในแต่ละวัน ข้าพเจ้าเรียกมันว่างาน แต่มันเป็นงานทำเงินโดยไม่มีเวลาเจียดแบ่งไปทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมอย่างแท้จริง เช้ายันค่ำเวลาหมดไปกับงานทำเงิน แล้วจะทำอย่างไรเราจะไม่ต้องเสียใจหากต้องตายในวันนี้ จะทำอย่างไรให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆ เราก็ได้ทำดีที่สุดในการงานเพื่อผู้คนและศาสนาอยู่บ้าง มันก็มาถึงเรื่องการแบ่งเวลา เราควรแยกให้ออกว่างานทำเงินกับงานทำบุญ บางครั้งมันคนละอย่างและบางครั้งมันก็เป็นงานเดียวกัน หากเราแน่ใจว่าลักษณะงานของเรามันบ่งบอกถึงการงานทำเงินโดยแท้ เช่นนั้นแล้วเราก็ควรเจียดเวลาหางานเพื่อบุญกุศลและความสุขทางใจบ้าง แต่หากมันรวมอยู่ในงานเดียวกันแล้วก็ดีเราจะได้ไม่ลำบากเรื่องการแบ่งเวลา แต่ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วละว่าจะแบ่งเวลาอย่างไร หรือเปลี่ยนงานเป็นงานทำเงินเลี้ยงชีพครึ่งวัน อีกครึ่งวันเป็นงานเลี้ยงใจ เพราะเขาต่างก็บอกว่างานที่ให้ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นงานที่เราได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาจัดสรรแบ่งเวลาเพื่อชีวิตสุขขีกายและใจ


การแบ่งเวลานั้นข้าพเจ้าคิดว่า การที่เราจะเป็นคนประสบความสำเร็จมันไม่จำเป็นจะต้องสามารถแบ่งเวลาในหนึ่งวันทำอะไรได้หลายๆ อย่างหรอก เอาแค่สองอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้นนั่นก็ถมเถแล้วแต่ต้องเป็นสองอย่างที่ทำให้ดีที่สุด เพราะหากต้องตายในวันนี้เราจะสบายใจได้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว การทำดีที่สุดใจจะต้องมีสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะแบ่งเวลาได้เอง เพราะเราจะไม่ไปเสียเวลาหรือจับจดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะรู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือให้ทำอย่างอื่น หากใจไม่มีสมาธิมันจะวิ่งวุ่นไปทั่วงานตรงหน้าก็ไม่เสร็จ จับจดอีกต่างหาก สุดท้ายก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนแบ่งเวลาไม่เป็น


เวลาในหนึ่งวันเราแบ่งไปทำอะไรบ้าง เวลาในหนึ่งวันเราเอาไปใช้ทำอะไรกี่อย่าง แล้วแต่ละอย่างนั้นส่งเสิรมให้เราไปถึงเป้าหมายของเราหรือไม่ การตั้งคำถามเช่นนี้จะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เราต้องทำในวันพรุ่งนี้


ข้าพเจ้าว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าในหนึ่งวันเราสามารถแบ่งเวลาไปทำอะไรกี่อย่าง มันสำคัญตรงที่ว่าในหนึ่งวันนั้นการกระทำของเรามันสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตที่เรามีหรือไม่ เมื่อเราตระหนักการจัดสรรแบ่งเวลาก็จะเป็นเรื่องธรรมชาติไปเอง


ทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเพียงอากาศธาตุทางความคิดของข้าพเจ้า จะถูกจะผิดมันอีกเรื่องนึง