วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องเรียนออกแบบ?

เอไอทีเอกซ์เทนชั่น

เข้าไปอ่านฟอรั่มในฟอนต์.คอม กระจู๋ทำไมต้องเรียนออกแบบ? นั่งอ่านไล่ตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าที่สิบห้า คำตอบที่ได้รับสิงสถิตอยู่ในใจกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรงคือ มันอยู่นี่ๆ เองสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากเรียนมาตลอดแต่หาตัวตนไม่เจอ หากแต่ต้องลื่นไหลตามกระแสปัจจัยบีบอัดเอื้ออำนวยอันรายล้อมในขณะนั้น จนมาจรดเท้าในปัจจุบัน 

อยากถามตนเองและพระผู้เป็นเจ้าว่าตัวเลือกทางการศึกษาที่ได้เคยเลือกมานั้นข้าพระองค์มีสิทธิ์เลือกหรือข้าพระองค์ไม่มีทางเลือกกันแน่ แน่นอนว่าความสามารถในการรับรู้และประจักในตัวตนและแวดล้อมอันเอื้ออำนวยต่อการเลือกในขณะนั้น ข้าพเจ้าและเด็กคนอื่นๆ กว่าสามในสี่ของประเทศต่างก็ด้อยโอกาสที่จะเลือกและแวดล้อมไม่อำนวยต่อการค้นพบตนเองแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าเพียงตระหนักรู้ว่าทุกองค์ประกอบทางการศึกษา ทุกแนวทางที่เคยผ่านล่วงมา ข้าพเจ้าไม่เคยได้เลือก แต่ปัจจัยเป็นตัวกำหนดว่าข้าพเจ้าควรเลือกสิ่งใด ปัจจัยอันดับแรกที่กำหนดการเลือกของข้าพเจ้าคือมันจะช่วยลดภาระแม่ของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ถ้าได้นั่นคือทางเลือกของข้าพเจ้า ปัจจัยที่สอง ข้าพเจ้าหาตัวตนไม่เจอ เป็นเช่นไรและควรจะเรียนอะไร ได้แต่เลือกตามแต่โอกาสอำนวยซึ่งก็ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่านั่นคือความประสงค์ของพระองค์ท่าน และพระองค์ก็คงจะทรงทราบดีว่าในใจข้าพเจ้านั้นมันบอกอยู่ตลอดว่านี่ไม่ใช่ แต่โอกาสสำหรับเด็กอย่างข้าพเจ้ามีให้เลือกมากนักหรือ?

เมื่ออ่านมาถึงหน้าสุดท้ายของกระจู๋ข้างต้น เจ้าของกระจู๋โพสต์ไว้ดังนี้ พอมีคนถามว่า "เรียนนี่แล้วมันดียังไง ก็ได้แต่ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าการเรียนการสอนมันดีไหม แต่ถ้าถามว่ามันสนุกไหม ตอบได้ว่าสนุกจนอยากเรียนศิลปากรซัก 2-3 รอบเลย"      โอ้พระผู้เป็นเจ้านี่ไม่ใช่หรือการเรียนการสอนที่ข้าพระองค์ใฝ่ฝันถึงตลอดชั่วชีวิต การเรียนที่ว่า อาจจะประกอบไปด้วยหลายปัจจัยจนทำให้ผู้เรียนอยากจะกลับไปเรียนใหม่อีกหลายๆ รอบ แต่ที่แน่ๆ มันต้องมีอะไรดีบ้างถึงทำให้อยากจะกลับไปเรียนอีกสองสามรอบ นั่นแหละคือการเรียนที่เด็กทุกคนต้องการ

เรียนในสิ่งที่คือตัวตน แม้จะไม่ได้ทำงานตามสายแต่ได้พัฒนาตัวตนและแสวงหาความหมายแค่นี้ที่มนุษย์เช่นข้าพเจ้าต้องการ

ชั้นจะไขว่คว้าหาเธอมาให้ได้นิเทศศิลป์ 

เดินทางตามกระจู๋
http://www.f0nt.com/forum/index.php/topic,11431.0.html

salindongbayu

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อุสตาซ โอ๊ะ บาโด ตายแล้ว

ชีวิตของข้าพเจ้าโลดแล่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึก พยายามหล่อเลี้ยงและ เฝ้าสังเกตความรู้สึกต่อเหตุการณ์และบุคคลที่พบเจอ เมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ความรู้สึกจะจมอยู่กับประสปการณ์ในเหตุเกิดนั้นๆ นั่งคิดว่าข้าพเจ้าผ่านเหตุการณ์บีบเค้นเช่นนั้นมาได้อย่างไร สถานการณ์ที่มีแรงกดดันสูงขนาดนั้นข้าพเจ้าปะทะกับมันเข้าไปได้อย่างไร พยายามเหลียวมองทุกมุมมองของเหตุการณ์ และต้องสะดุดด้วยข้อเท็จจริงว่า ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ได้หายไปนั่นคือ บุคคลผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของเหตุการณ์ อุสตาซโอ๊ะ บาโด ตายแล้ว จึงบังเกิดความรู้สึกอนิจจัง ทุกขัง ชีวิตไม่เที่ยง ข้าพเจ้าเห็นท่านใช้ชีวิตต่อสู้ทางการเมืองมามากต่อมาก ยืนตระหง่านบนโขดหินต้านลมแรง ณ ยอดผาสูงดินแดนซึ่งคนสามจังหวัดไม่กี่คนไปถึง แม้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นด้วยในบางทัศนะที่ท่านมี และดูจะขัดแย้งกันลึกๆ ในใจข้าพเจ้า แต่นั่นหาใช่ปัญหา หากแต่แก่นสารของชีวิตที่ควรพิจารณาคือ การต่อสู้บนเส้นทางชีวิตของเรา การโลดแล่นนาวาชีวิตบนคลื่นความรู้สึกของตนเองอยู่ตลอดเวลานั้น ในเมื่อจุดจบของเราคือความตาย และบางครั้งก็จากไปโดยไม่มีการเตรียมพร้อมอันใดเลย แล้วการต่อสู้ทั้งหมด ความเจ็บปวด การพินิจพิเคราะห์ความรู้สึกของคนเช่นข้าพเจ้า มันจะมีประโยชน์อะไรบ้างหรือ เพราะยามความตายได้เดินมาเคาะประตูและชักชวนเราออกไปสู่ดินแดนพันธะสัญญา เราก็เป็นได้แค่ใบไม้หนึ่งใบในบรรดาใบไม้อีกไม่รู้จะพรรณนาจำนวนที่ปลิดขั่วแค่นั้นเอง โลกไม่ต้องการรับรู้ เทคโนโลยีไม่ได้ล่มสลายเพราะการตายของเรา แล้วอย่างนี้การต่อสู้อันวางอยู่บนพื้นฐานชุดความคิดปัจเจกชน การเฝ้าประคบประหงมความรู้สึกที่เคยมีมา ก็ไร้ค่าสิ้นดี


อุสตาซโอ๊ะ บาโด ตายไปโดยอาจจะไม่คิดว่าตนเองต้องตายในคืนนั้น แผนงานชีวิตหลายประการกำลังดำเนินไป ความคิดหลายความคิดกำลังโลดแล่น แต่มันก็ถูกคั่นกลางอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยโรคหัวใจ ย้อนมองดูตัวเองที่มักจะโลดแล่นแหวกว่ายอยู่ในความรู้สึก ดำเนินกิจกรรมนั้นอย่างเหม่อลอยเรื่อยๆ ทุกข์ระทมในบางโอกาส และถูกคั่นกลางอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างอุสตาซโอ๊ะ บาโด แล้วอะไรคือแก่นสารของกิจกรรมเหล่านั้นที่มีต่อความตาย


ประเด็นที่ข้าพเจ้ามัวเมาอยู่แต่กับความรู้สึก เฉกเช่นที่เราหลายๆ คนก็มัวเมาอยู่แต่กิจกรรมของตนเอง แต่ข้อเท็จจริงตกสำรวจคือ เราก็แค่ใช้เวลาเดินเข้าหาความตายใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นเอง ซึ่งทั้งสิ้นทั้งปวงเราแค่ไม่แน่ใจว่าเราจะไปเจออะไรหลังความตายที่ไม่เคยเตือนสติตนเอง




salindongbayu    

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตดันทุรัง

งานที่ทำอยู่ตอนนี้เป็นสัญญาจ้างระยะสั้น 6 เดือน หากจะบอกว่ามันเป็นงานๆ หนึ่งที่ดีมากเท่าที่คนไม่ฟุ้งเฟ้อคนหนึ่งจะหาได้ย่อมไม่ผิดนัก เงินดี, เพื่อนร่วมงานดี, สถานที่ทำงานเงียบสงบ, ลักษณะงานก็ดี แต่ไฉนเลยคนไม่ฟุ้งเฟ้ออย่างข้าพเจ้ากลับไม่พอใจงานนี้


แรกเริ่มนั้นก็คิดเอาเองว่าหากผ่านพ้นไปหกเดือนเค้าคงจะต่อสัญญา ข้าพเจ้าคงจะได้ทำงานเป็นพนักงานปกติ แต่มันก็ปรากฏในหนหลังว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น การเป็นพนักงานปกติข้าพเจ้าต้องผ่านระบบกรองของฝ่ายบุคคลของที่นี่ ซึ่งดูท่าข้าพเจ้าจะหมดโอกาสด้วยคนสมัครเยอะมาก จึงกลุ้มใจเป็นอันมาก เพราะเมื่อมานั่งคิดถึงคุณสมบัติต่างๆ ของงานที่ได้ระบุไว้ข้างต้นก็บังเกิดความเสียดาย หากข้าพเจ้าไม่ได้ทำงานที่นี่ ข้าพเจ้าคงต้องเสียแวดล้อมความเป็นอยู่ที่หามานาน ข้าพเจ้าต้องขาดรายได้  แล้วจะทำอย่างไรต่อไป อันเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าต้องมานั่งค้นหางานใหม่ ซึ่งก็ควรเป็นงานที่ไม่ยึดติดหรือขึ้นอยู่กับใคร บอกกับตนเองซ้ำๆ ว่าเราต้องได้งานที่เป็นที่พึ่งแห่งตน ตัดปัจจัยงานนี้ออกไปซะ อย่านำมาใส่ในความคิดอีกเลย ในเมื่อพระองค์ทรงมอบให้และหากพระองค์จะทรงเรียกคืนนั่นก็ไม่แปลกอะไร และข้าพเจ้าออกจะแน่ใจว่าพระองค์จะต้องให้สิ่งอื่นที่ดีกว่าที่เหมาะสมกับข้าพเจ้ามากกว่าเป็นแน่ เพราะครรลองมันมักจะเป็นไปในลักษณะนั้น ขณะนี้เป็นเดือนตุลาคม 2010 เหลือเวลาอีกสองเดือนก่อนจะหมดสัญญา ข้าพเจ้าเริ่มจะตัดปัจจัยหวงงานที่ทำอยู่ได้แล้ว และกำลังเริ่มงานอีกงานที่คิดว่าไม่ต้องพึ่งใคร ไม่ขึ้นกับใคร และเป็นอิสระ


เมื่อตั้งใจอย่างนั้นข้าพเจ้าจึงต้องมาตั้งหัวขบวนใหม่ นั่งคิดนอนคิดว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลือดี เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดของชีวิตข้าพเจ้าคือ ข้าพเจ้าไม่มีเป้าหมายในชีวิตเลยจริงๆ รู้แต่เพียงว่าจะไม่ทำหากความรู้สึกและใจบอกว่ามันไม่ใช่ เพราะนั่นคือการฝืนที่ทรมานที่สุด มันคือปัญหาเฉพาะหน้าที่ข้าพเจ้าต้องหาทางออกให้ได้เพราะไม่เช่นนั้นจะเคลื่อนไปไหนไม่ได้เลย

ตลอดระยะเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าตั้งคำถามเรื่องงานกับตนเองมากมาย เพราะโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการสมัครงาน ด้วยข้าพเจ้าคิดว่าเราไม่ใช่สินค้าที่จะต้องนำเสนอตนเองให้คนใครเลือก และข้าพเจ้าก็จะเสียความรู้สึกอย่างมหาศาลหากเขาปฏิเสธรับข้าพเจ้าเข้าทำงาน ถามไปถามมาข้าพเจ้าก็ฉงนเองเป็นหนักหนา คุณสมบัติงานที่ดีเกือบจะทุกอย่างสำหรับข้าพเจ้าแต่ทำไมข้าพเจ้าไม่รู้สึกพอใจกับงานนี้ซักที นั่นมิใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะต่อสัญญากับข้าพเจ้าจึงทำให้ข้าพเจ้าไม่พอใจ หากแต่มันปรากฏเด่นชัดเสียเหลือเกินว่า งานนี้มันไม่ใช่ งานนี้มันยังไม่เหมาะกับตัวตนของข้าพเจ้า แม้จะเสียดายจำนวนเงินเดือนเป็นอันมาก หากแต่เมื่อมองดูความรู้สึกที่ต้องทนทำงานที่รู้สึกว่ายังไม่ใช่ข้าพเจ้าก็พร้อมที่จะบอกตนเองว่า อย่าดันทุรังไม่เลย ในขณะเดียวกันความคิดอีกกระบวนการหนึ่งก็พยายาหาเหตุผลให้ตัวเองนั่นคือ มันคงจะเป็นความประสงค์ของพระองค์ที่จะไม่เปิดทางให้ทางสถาบันต่อสัญญากับข้าพเจ้า เพราะพระองค์คงทราบดีว่าการเข้างานเช้าแล้วออกเย็นมันไม่เหมาะกับคนอย่างข้าพเจ้า จึงให้ลองงานเป็นเวลาหกเดือนเพื่อให้ตระหนักได้เองว่าข้าพเจ้าไม่ชอบอย่างนั้นจริงๆ


ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตนในแวดล้อมของการทำงาน มีปัจจัยหลักปัจจัยนึงที่ข้าพเจ้าไม่มี และมันก็เป็นปัจจัยชี้เป็นชี้ตายในการดำเนินงานใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงด้วย นั่นคือปัจจัยความมุ่งมั่นเรื่อยๆ ก็แค่ทำมันไปเรื่อยๆ โดยไม่ท้อขว้างมันทิ้ง ซักพักมันจะสำเร็จเป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ชื่นใจเอง ดังนั้นจึงตั้งปณิธานไว้ลึกๆ และเงียบๆ ว่าต่อไปจะนำคุณสมบัติความมุ่งมั่นเรื่อยๆ มาใช้ในทุกการงานที่ตั้งใจให้สำเร็จ มันจะได้สำเร็จจริงๆ ซักที

ขอเวลาหน่อย