วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลของชีวิต2 (There is a season)

พาล์มเม่อร์ยังเล่าต่อว่า

ฤดูหนาว


หากเปรียบฤดูใบไม้ร่วงเป็นการเสื่อมถอยของชีวิต ฤดูหนาวก็คือความตายที่นิ่งสนิท ฤดูหนาวเป็นฤดูที่ยากลำบาก และมีไม่กี่คนที่จะชื่นชมระเบียบแบบแผนของมัน เป็นฤดูที่เราได้เห็นชัยชนะสูงสุดของพญามัจจุราช มีเพียงไม่กี่ชีวิตที่ยังเคลื่อนไหว เราไม่เห็นการเติบโตของต้นไม้ ธรรมชาติดูเหมือนจะเป็นศัตรูของเรา กระนั้นความเข้มงวดของฤดูหนาวก็มีของขวัญให้กับเราเช่นเดียวกับที่ฤดูใบไม้ร่วงมอบให้


ของขวัญอย่างหนึ่งคือ ความสวยงาม ซึ่งแตกต่างจากความสวยงามของฤูดใบไม้ร่วง แต่ก็น่าพิสมัยเฉกเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่ามีภาพใดบนโลกนี้ที่จะงดงามไปกว่าภาพท้องฟ้าที่โน้มลงมาบรรจบผืนหิมะ ของขวัญอีกอย่างหนึ่งคือ ฤดูหนาวบอกให้เรารู้ว่าการหยุดพักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต ถึงแม้จากภายนอกจะดูเหมือนว่าไร้ซึ่งชีวิต แต่ธรรมชาติก็ไม้ได้หยุดการเคลื่อนไหวที่ใต้พื้นดินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งเพื่อเตรียมรับฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึง ฤดูหนาวคือเวลาที่เราได้รับการชี้นำและน้อมรับการเปลี่ยนแปลงนี้สำหรับตัวเองด้วยเช่นกัน


แต่สำหรับผมแล้ว ฤดูหนาวยังมีของขวัญให้มากไปกว่านั้น ในเวลาที่ท้องฟ้าสดใส แสงแดดแรงกล้า ต้นไม้ทิ้งใบจนเหลือแต่กิ่งก้าน และหิมะแรกกำลังจะมาถึง มันคือความกระจ่ายชัด ในฤดูหนาว เราสามารถเดินในป่าซึ่งเคยหนาทึบในฤดูร้อน มองเห็นต้นไม้แต่ละต้นได้อย่างชัดเจน และมองเห็นผืนดินที่พวกมันหยั่งรากลง


พ่อของผมเสียชีวิตลงเมื่อไม่กี่ปีทีผ่านมา พ่อเป็นคนดียิ่งกว่าใครๆ ที่ผมรู้จัก ช่วงเวลาสองสามเดือนหลังการเสียชีวิตของพ่อเป็นเหมือนฤดูหนาวอันยาวนานสำหรับผม แต่ในส่วนลึกของความหนาวเย็นและความสูญเสีย ผมเกิดความกระจ่างในบางเรื่องซึ่งไม่เคยตระหนักในเวลาที่พ่อยังมีชีวิต ผมมองเห็นบางอย่างที่ความรักอันล้นเหลือของพ่อได้บดบังไว้ ได้มองเห็นว่าพ่อเป็นที่พึ่งของผมมากมายเพียงใด ในเวลาที่ผมถูกความทุกข์กระหน่ำ ผมอาศัยพ่อเป็นเสมือนเบาะรองรับแรงกระแทกจากความทุุกข์นั้นเมื่อพ่อจากไป ความคิดแรกของผมคือ "เวลานี้ผมต้องรับมือกับมันได้ด้วยตัวเอง" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มองเห็นความจริงที่อยู่ลึกลงไปกว่านั้น ผู้ที่รับแรงกระแทกจากความทุกข์ของผมไม่ใช่ตัวพ่อ แต่เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ต่างหากที่พ่อสอนให้ผมพึ่งพิง


ในเวลาที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ผมสับสนระหว่างคำสอนกับครู ครูของผมจากไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่คือความรักอันยิ่งใหญ่ และความกระจ่างชัดต่อความจริงนี้ทำให้คำสอนของครูยังคงอยู่ในตัวผม ฤดูหนาวทำให้ภูมิประเทศโล่งมองเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าจะโหดร้ายเพียงใด ฤดูหนาวเป็นโอกาสให้เรามองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมองเห็นพื้นดินที่ชีวิตเราดำรงอยู่ได้อย่างแจ่มชัด


ฤดูหนาวภายในใจเรามีหลายรูปแบบ ทั้งความล้มเหลว การถูกหักหลัง ภาวะซึมเศร้า และการจากไปของผู้ที่เรารัก แต่ในทุกรูปแบบนั้น ประสบการณ์สอนผมว่ามันให้คำแนะนำที่เหมือนๆ กันคือ "ฤดูหนาวจะทำให้คุณเสียสติจนกว่าคุณจะผ่านพ้นด้วยการเผชิญหน้ากับมัน" ความกลังจะยังมีพลังครอบงำเราจนกว่าเราจะก้าวเดินอย่างกล้าหาญสู่ความกลัวในเรื่องต่างๆ ที่เราอยากจะหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเราเดินเข้าหามันอย่างตรงไปตรงมา โดยป้องกันการถูกหิมะกัดด้วยมืออันอบอุ่นของกัลยาณมิตร ด้วยการฝึกฝนตนหรือด้วยคำชี้แนะทางจิตวิญญาน เราจะสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ความกลัวเหล่านั้นกำลังสอนเราอยู่ และจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พบว่า เราสามารถวางใจในวัฏจักรของฤดูกาล ชีวิตยังดำรงอยู่และดำเนินต่อไป แม้ในฤดูกาลที่ยากลำบากเพียงใดก็ตาม

ฤดูใบไม้ผลิ....จะตามมา

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประกันสุขภาพ ณ ไทยแลนด์

สวัสดีเช้าจันทร์วันทำงาน


ตั้งแต่จัดคอร์สอบรมเกี่ยวกับ Hospital Management ก็ได้ทราบข้อมูลหลายๆ อย่างจากที่แต่ก่อนไม่อยากจะสนใจมันเรย และตั้งแต่ท่านผู้ทรงเกียรติในสภาขึ้นเงินเดือนให้ตนเองอย่างไร้ยางอายสิ้นดี ข้าพเจ้าก็ชังนายอภิสิทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว


โดยภาพรวมระบบประกันสุขภาพในไทยแลนด์แดนสมายล์แยกออกเป็นดังนี้
1. บัตรทอง (ประชนที่ไม่มีงานทำเป็นกิจจะลักษณะ, หรือไม่มีรายได้)
2. ประกันสังคม (ประชาชนที่มีงานและเงินเดือน) ซึ่งตูก็อยู่ในประเภทนี้
3. ข้าราชการ
4. ส.ส
5. ส.ว


ข้าพเจ้านั่งบ่นหรือแลกเปลี่ยนความคิดกับพี่ที่ทำงานว่า ทำไมรัฐไม่จ่ายให้คนที่มีงานทำ (ประกันสังคม) เช่นเดียวกันกับเพื่อนร่วมประเทศที่ใช้บัตรทอง ทั้งที่คนที่เข้าข่ายประกันสังคมเสียภาษีเงินได้ ภาษี 7 เปอร์เซ็นที่ซื้อข้าวซื้อของในประเทศอีก แต่กลับต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพอีกเหรอ แล้วคนที่ไม่เสียภาษีเงินได้ แต่รัฐกลับแจกบัตรทองเสียนิ (ก็ใช่ความจริงที่ว่าประกันสังคมสามารถเลือกโรงพยาบาลที่จะไปรับการรักษาได้ แต่บัตรทองไม่มีสิทธินั้น) แต่นั่นก็ใช่ว่าการได้รับบริการจะต่างการมาก ซึ่งวงเงินที่รัฐระบุ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าประกันสังคมมีสิทธิอะไรบ้าง จะไปโรงพยาบาลไหนๆ ก็ไม่ต่างกันมากหรอก


มิหนำซ้ำไม่กี่วันต่อมาเผอิญได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 16/12/2553 เรื่องประกันสังคมที่เหลื่อมล้ำ อ่านแล้วให้อยากจะสาปแช่งกระทรวงการคลังและรัฐบาลวันละร้อยหน เลือกที่จะเข้ามาทำงานแต่ไฉนเลยถึงได้เอารัดเอาเปรียบผู้คนอย่างไม่กลัวบาปกรรม ทั้งข้าราชการผู้ชงเรื่องเอง จึงขอคัดลอกเนื้อความจากหนังสือพิมพ์ให้อ่านกันเล็กน้อย  


"แม้ว่า ครม. เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา จะตีกลับร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ (การรักษาพยาบาล) ของ ส.ส และ ส.ว กลับไปให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวน เม็ดเงินและความเป็นไปได้ แต่เมื่อดูอัตราการให้ประกันสุขภาพ ส.ส และ ส.ว ทั้งในปัจจุบัน และที่จะขอเพิ่มในอนาคตแล้ว ถึงกระทรวงการคลังจะปรับปรุงอย่างไร มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในระบบรักษาพยาบาลระหว่างชาวบ้านกันนักการเมืองอย่างชัดเจน..."


และที่น่าเจ็บใจปรากฏว่าค่าใช้จ่ายที่รัฐจ่ายต่อปีให้คนที่จ่ายประกันสังคมน้อยกว่าระบบประกันสุขภาพทุกประเภท ส.ส 50000, ส.ว 20000, ข้าราชการ 10000-12000, บัตรทอง 2202, ประกันสังคม 1938 เห็นตัวเลขมันน่าเจ็บใจไหมเ่ล่า ตัวเลขสูงกว่าชาวบ้านช่องถึงขนาดนั้น กระทรวงการคลังจะส่งเรื่องขอเพิ่มให้ ส.ส และ ส.ว อีก พระเจ้าช่วยกล้วยน้ำว้า อะไรมันจะขนาดนั้นกัน


ข้าพเจ้าบ่นเสร็จรุ่นพี่ผู้นั้นหันมาตอบข้าพเจ้าว่า "ความไม่มีโรคคือลาภอันประเสิรฐ" ข้าพเจ้าก็เงียบสิ จะเอาอะไรไปบ่นได้อีก จริงของพี่ครับ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลของชีวิต (There is a season)

หลังจากเดินอุตหลุดอยู่บนภูกระดึงสองวันเต็มๆ ซึ่งก็อย่างที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะมาเหยียบภูนี้ หรือหากจะพูดให้กระชับอย่างที่เพื่อนใหม่หลายๆ คนบอกว่านั่นคือความเป็นตัวตนของข้าพเจ้ารูปประโยคคงจะเป็นดังนี้ กูไม่รู้จะไปหาหอกเหวอะไรอีกแล้ว เหตุผลผลักดันก็น่าจะไม่มีอะไรเกินกว่าที่ว่า ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความสนุกสนานใดๆ แผงอยู่ในการไปเหยียบภูกระดึง นอกจากมิตรภาพและเพื่อนใหม่ ข้าพเจ้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก แต่ข้าพเจ้าจะทนไม่ได้กับความจืดชืด ในเมื่อมันก็คือการเดินและอยู่แคมป์ธรรมดาๆ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปเยือนให้เมื่อยขาอีกหน


แต่มิตรภาพที่ได้รับและระยะเวลารวมถึงระยะทางที่ต้องเดินไปด้วยกันกับเพื่อนกลุ่มใหม่ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปก็ถือว่่าไม่เสียเปล่า อย่างน้อยๆ เครือข่ายของข้าพเจ้าก็เพิ่มขึ้นแม้ว่าอนาคตมันอาจจะเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่ไม่คงทนมากนัก


ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสหยุดงานเมื่อวานไปหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนและนอนแผ่ ข้าพเจ้าเคยพูดประโยคนี้กับเพื่อนใหม่คนหนึ่งว่า "มันชั่งเป็นความรู้สึกที่แช่มชื่นหากเราได้หยุดพักในห้วงเวลาที่เรามีอะไรให้ทำ มากกว่าการหยุดพักในห้วงเวลาที่เราไม่ีมีอะไรทำ" ประโยคทุกประโยค (ยกเว้นพระดำรัสขององค์อัลลอฮฺและวัจนะของท่านนบีมูฮัมหมัด) ที่หลุดออกมาจากปากมนุษย์ล้วนแล้วมีแรงผลักดันจากปัจจัยแห่งเหตุและผลเสริมหนุนโยงใยกันทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพถิ่นกำเนิด, ศาสนาความเชื่อ, การเลี้ยงดูของบุพการี, โอกาสทางการศึกษา และอื่นๆ อีกมากนัก ดังนั้นประโยคที่ข้าพเจ้าพูดข้างต้นจะบอกว่ามันถูกต้องหรือผิดถนัดจึงไม่เป็นความจริงทั้งสองอย่าง เพราะข้าพเจ้าพูดมันในบริบทและปริมณฑลแห่งตัวข้าพเจ้าเอง มันย่อมถูกในกรอบความคิดของข้าพเจ้าแต่อาจจะผิดในบริบทของคนอื่น เอาละประโยคข้างต้นข้าพเจ้าหมายความว่า ยามใดที่เรามีอะไรให้ทำไม่ว่าจะเป็นงานปกติ หรือความยุ่งเหยิงลักษณะอื่น หากสามารถปลีกเวลาพักผ่อนแม้เพียงวันเีดียวมันชั่งน่าอภิรมณ์สุดแสน เพราะมันคือความแปลกใหม่ในแวดล้อมความจำเจ ในทางกลับกัน การได้พักผ่อนในห่วงเวลาที่เราว่างอยู่อาจินมันจะไม่ยังความสุขใดมาให้ เพราะมันคือความเดิมๆ ในความจำเจนั่นเอง


ด้วยเหตุนี้การพักผ่อนเมื่อวาน ข้าพเจ้าจึงรู้สึกดีนัก อันเป็นสาเหตุของการอัพบล็อกในหัวข้อที่ขึ้นไว้


ฤดูกาลของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือ "เสียงเพรียกแห่งชีวิต, Let your life speak" ของ ปาร์คเกอร์ เจ. พาล์มเมอร์, นายแพทย์ กิจจา เจียรวัฒนกนก แปล, พาล์มเมอร์ชี้ช่องให้เห็นความนัยตามสายตาที่เขามองเห็นในฤดูกาลต่างๆ ทั้ง 4 ฤดู (ไม่ใช่ละครเทพ 4 ฤดู) ข้าพเจ้าจึงนำมาคัดลอกไว้ในบล็อกนี้ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่กัลยาณมิตรที่ไ้ด้พานพบเข้ามาอ่าน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับความเบิกบานที่ข้าพเจ้าได้รับในวันพักผ่อนในยามที่มีอะไรให้ทำเสียด้วย จึงตั้งใจตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะอัพบล็อกเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าจะคัดลอกเฉพาะส่วนที่ถูกใจข้าพเจ้า (ใครจะทำไม) ....ไป เรา ตามไปละเลียดกัน


การมองชีวิตด้วยภาพความเปลี่ยนผันของฤดูกาลทำให้เราเข้าใจความหมายของคำอุปมาอื่นได้ลึกซึ้งขึ้น เมล็ดของพืชพันธุ์ได้เดินทางผ่านแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เป็นไปตามวัฏจักรที่ไม่รู้จบของฤดูกาล เตือนให้รู้ว่าการเดินทางของชีวิตนั้นไม่เคยสิ้นสุด ชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งในปริศนาของวัฏจักรอันเป็นนิรันดร์ เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อแสวงหา แต่ไม่เคยได้รับคำตอบว่า "เราเป็นใคร" และ "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร" คำถามนี้วนเวียนอยู่ตลอดชีวิตเรา 


ฤดูกาลยังให้มุมมองใหม่แก่เรา ให้เราได้มองเห็นว่าการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงและภารกิจของชีวิตนั้นมิได้อยู่แค่การค้นหาจากเพียงภายใน หรือแม้กระทั่งจากวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ฤดูกาลช่วยให้เรามองเห็นการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงจากมุมมองของสรรพสิ่งอันไพศาล เป็นโลกแห่งสรรพสิ่งซึ่งชีวิตของเรารวมอยู่ในนั้นด้วย 


ฤดูใบไม้ร่วง


ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยงามอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นฤดูของการเสื่อมถอยด้วย เวลากลางวันสั้นลงเรื่อยๆ แสงอาทิตย์เบนออกเป็นมุมเฉียง และความอุดมสมบูรณ์ของฤดูร้อนกำลังเสื่อมถอยลงสู่ความแร้นแค้นของฤดูหนาว ในเมื่อต้องเผชิญกับฤดูหนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ธรรมชาติได้ให้อะไรกับฤดูใบไม้ร่วงบ้าง สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ฤดูใบไม้ร่วงคือการหว่านเมล็ดพันธุ์เตรียมพร้อมสำหรับการงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ และปริมาณของเมล็ดพันธุ์ที่แพร่กระจายนี้ก็มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ 


ที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยรู้ตัวว่าผมได้รับเมล็ดพันธุ์อะไรบ้างจากฤดูใบไม้ร่วงของชีวิต ในทางตรงกันข้าม จิตใจผมมัวแต่จดจ่อ กับความเขียวขจีของฤดูร้อนที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและโรยรา ความงามในฤดูใบไม้ร่วงของผมมักจะเจือด้วยความเศร้า ความงดงามของธรรมชาติรอบตัวเป็นเครื่องเตือนให้รู้สึกถึงความสูญเสียที่กำลังจะมาถึง ผมหดหู่กับการสิ้นสุดของฤดูร้อนมากกว่าจะรู้สึกปิติกับความหวังของการเริ่มต้นกำเนิดชีวิตใหม่


แต่เมื่อผมใคร่ครวญสาส์นที่ได้รับจากฤดูใบไม้ร่วง ถึงปรากฏการณ์ที่ต่างกันสุดขั้วระหว่างความตายและการหว่านเมล็ดพันธุ์ ผมจึงรู้สึกถึงพลังของคำอุปมา ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาของชีวิตผม ผมมักยึดติดกับการรับรู้แค่ระดับผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นการหมดความสนใจในบางเรื่อง ความเสื่อมถอยของมิตรภาพ และการตกงาน หากว่าผมจะมองให้ลึกซึ้ง ผมคงเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ มากมายที่ถูกหว่านเพาะเพื่อรอคอยการเติบโตในฤดูกาลใหม่ 


เมื่อย้อนมองกลับไป ผมมองเห็นหลายสิ่งที่เคยมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผมมาพบกับงานที่เป็นภารกิจชีวิตของตน หรือการที่ "หนทางปิดตาย" ส่งสัญญานให้ผมหันหน้าไปสู่ดินแดนใหม่ที่สร้างความชัดเจนให้กับความหมายของชีวิต หากมองอย่างผิวเผิน ฤดูใบไม้ร่วงดูเหมือนกับว่าชีวิตกำลังเสื่อมถอยลง แต่ทว่า เมล็ดพันธุ์จำนวนมากของชีวิตใหม่กำลังถูกหว่านเพาะอย่างเงียบๆ 


ความงดงามของฤดูใบไม้ร่วงทำให้มองเห็นความมีชีวิตซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความโรยราได้ชัดขึ้น ศิลปินจะวาดภาพของฤดูกาลแห่งความร่วงโรยนี้ด้วยสีสันอันสดใสได้อย่างไรหากธรรมชาติไม่ได้เป็นผู้แต่งแต้มให้ก่อน ในความเสื่อมสลายนั้นมีความงาม เป็นความงามซึ่งเราผู้หวาดกลัวและปฏิเสธความตายไม่สามารถมองเห็น บทเรียนของฤดูใบไม้ร่วงแสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งความตายและความงดงามนั้นอยู่ใกล้ชิดกันมากเพียงใด และได้สอนอะไรไรให้กับเรา


สำหรับผมแล้ว คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับคำถามนี้คือถ้อยคำของโธมัส เมอร์ตันที่ว่า "ในทุกสิ่งที่มองเห็นนั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวกันซ่อนอยู่" ในโลกแห่งธรรมชาติที่เรามองเห็น มีความจริงแท้อันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ความเสื่อมถอยและความสวยงาม ความมืดและแสงสว่าง ความตายและชีวิต ไมได้เป็นสิ่งตรงข้ามกัน ทั้งหมดต่างอยู่รวมกันในสัจจะอันขัดแย้งของ "ความเป็นหนึ่งเดียว" นี้


ในสัจจะอันขัดแย้ง คู่ตรงข้ามไม่ได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ของกันและกัน พวกมันต่างเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงอย่างยิ่ง ลึกไปกว่านั้น ทั้งสองอยู่ได้ด้วยการดำรงอยู่ของกันและกัน เช่นเดียวกับที่ร่างกายของผมต้องมีทั้งการหายใจเข้าและหายใจออก ในสังคมที่ชอบเลือกเอาแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ยากที่เราจะยอมรับด้านตรงข้ามทั้งสองในเวลาเดียวกัน เราปราถนาแสงสว่างที่ปราศจากความมืด ปราถนาความอุดมสมบูรณ์ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนโดยไม่ต้องประสบกับความยากลำบากของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นการต่อรองซึ่งเราไม่อาจทำได้กับชีวิต


เมื่อหวาดกลัวต่อความมือ เราจึงต้องการแสงสว่างตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งส่งผลเพียงประการเดียวคือ แสงสว่างเทียมซึ่งทั้งขาดความแจ่มกระจ่างและไร้ซึ่งความงามสง่า และเมื่อไกลออกไปจากพื้นที่ที่แสงส่องถึง ความมืดก็ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้กับเรา เมื่อปราศจากด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าความมืดหรือแสงสว่างเพียงอย่างเดียวล้วนไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิต แต่ถ้าเรายอมรับสัจจะอันขัดแย้งของความมืดและแสงสว่าง การดำรงอยู่ร่วมกันของทั้งคู่จะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันและสุขภาวะของทุกชีวิต


ฤดูใบไม้ร่วงเตือนผมอยู่เสมอว่า ความเสื่อมถอยของแต่ละวันในตัวผมเป็นส่วนสำคัญที่จะนำความสดใหม่มาสู่ชีวิตหากผมพยายมาม "สร้าง" ชีวิตที่ปราศจากความเสื่อมถอยของฤดูใบไม้ร่วง อย่างดีที่สุดมันคงเป็นชีวิตที่มีแต่ความฉาบฉวย ปราศจากความจริงแท้และไร้ซึ่งสีสัน แต่เมื่อผมยอมรับในวัฏจักรซึ่งสอดประสานกัน ยอมรับความงอกงามและการร่วงโรย ชีวิตของผมจะเปี่ยมด้วยสีสัน มีคุณค่า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก.


มีต่อ