วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฤดูกาลของชีวิต (There is a season)

หลังจากเดินอุตหลุดอยู่บนภูกระดึงสองวันเต็มๆ ซึ่งก็อย่างที่ข้าพเจ้าได้พูดไว้กับเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกันว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะมาเหยียบภูนี้ หรือหากจะพูดให้กระชับอย่างที่เพื่อนใหม่หลายๆ คนบอกว่านั่นคือความเป็นตัวตนของข้าพเจ้ารูปประโยคคงจะเป็นดังนี้ กูไม่รู้จะไปหาหอกเหวอะไรอีกแล้ว เหตุผลผลักดันก็น่าจะไม่มีอะไรเกินกว่าที่ว่า ข้าพเจ้ามองไม่เห็นความสนุกสนานใดๆ แผงอยู่ในการไปเหยียบภูกระดึง นอกจากมิตรภาพและเพื่อนใหม่ ข้าพเจ้าไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคและความยากลำบาก แต่ข้าพเจ้าจะทนไม่ได้กับความจืดชืด ในเมื่อมันก็คือการเดินและอยู่แคมป์ธรรมดาๆ งั้นก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปเยือนให้เมื่อยขาอีกหน


แต่มิตรภาพที่ได้รับและระยะเวลารวมถึงระยะทางที่ต้องเดินไปด้วยกันกับเพื่อนกลุ่มใหม่ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปก็ถือว่่าไม่เสียเปล่า อย่างน้อยๆ เครือข่ายของข้าพเจ้าก็เพิ่มขึ้นแม้ว่าอนาคตมันอาจจะเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่ไม่คงทนมากนัก


ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสหยุดงานเมื่อวานไปหนึ่งวันเพื่อพักผ่อนและนอนแผ่ ข้าพเจ้าเคยพูดประโยคนี้กับเพื่อนใหม่คนหนึ่งว่า "มันชั่งเป็นความรู้สึกที่แช่มชื่นหากเราได้หยุดพักในห้วงเวลาที่เรามีอะไรให้ทำ มากกว่าการหยุดพักในห้วงเวลาที่เราไม่ีมีอะไรทำ" ประโยคทุกประโยค (ยกเว้นพระดำรัสขององค์อัลลอฮฺและวัจนะของท่านนบีมูฮัมหมัด) ที่หลุดออกมาจากปากมนุษย์ล้วนแล้วมีแรงผลักดันจากปัจจัยแห่งเหตุและผลเสริมหนุนโยงใยกันทั้งสิ้นทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพถิ่นกำเนิด, ศาสนาความเชื่อ, การเลี้ยงดูของบุพการี, โอกาสทางการศึกษา และอื่นๆ อีกมากนัก ดังนั้นประโยคที่ข้าพเจ้าพูดข้างต้นจะบอกว่ามันถูกต้องหรือผิดถนัดจึงไม่เป็นความจริงทั้งสองอย่าง เพราะข้าพเจ้าพูดมันในบริบทและปริมณฑลแห่งตัวข้าพเจ้าเอง มันย่อมถูกในกรอบความคิดของข้าพเจ้าแต่อาจจะผิดในบริบทของคนอื่น เอาละประโยคข้างต้นข้าพเจ้าหมายความว่า ยามใดที่เรามีอะไรให้ทำไม่ว่าจะเป็นงานปกติ หรือความยุ่งเหยิงลักษณะอื่น หากสามารถปลีกเวลาพักผ่อนแม้เพียงวันเีดียวมันชั่งน่าอภิรมณ์สุดแสน เพราะมันคือความแปลกใหม่ในแวดล้อมความจำเจ ในทางกลับกัน การได้พักผ่อนในห่วงเวลาที่เราว่างอยู่อาจินมันจะไม่ยังความสุขใดมาให้ เพราะมันคือความเดิมๆ ในความจำเจนั่นเอง


ด้วยเหตุนี้การพักผ่อนเมื่อวาน ข้าพเจ้าจึงรู้สึกดีนัก อันเป็นสาเหตุของการอัพบล็อกในหัวข้อที่ขึ้นไว้


ฤดูกาลของชีวิตเป็นส่วนหนึ่งจากหนังสือ "เสียงเพรียกแห่งชีวิต, Let your life speak" ของ ปาร์คเกอร์ เจ. พาล์มเมอร์, นายแพทย์ กิจจา เจียรวัฒนกนก แปล, พาล์มเมอร์ชี้ช่องให้เห็นความนัยตามสายตาที่เขามองเห็นในฤดูกาลต่างๆ ทั้ง 4 ฤดู (ไม่ใช่ละครเทพ 4 ฤดู) ข้าพเจ้าจึงนำมาคัดลอกไว้ในบล็อกนี้ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่กัลยาณมิตรที่ไ้ด้พานพบเข้ามาอ่าน ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับความเบิกบานที่ข้าพเจ้าได้รับในวันพักผ่อนในยามที่มีอะไรให้ทำเสียด้วย จึงตั้งใจตั้งแต่เมื่อวานว่าวันนี้จะอัพบล็อกเรื่องนี้ ซึ่งข้าพเจ้าจะคัดลอกเฉพาะส่วนที่ถูกใจข้าพเจ้า (ใครจะทำไม) ....ไป เรา ตามไปละเลียดกัน


การมองชีวิตด้วยภาพความเปลี่ยนผันของฤดูกาลทำให้เราเข้าใจความหมายของคำอุปมาอื่นได้ลึกซึ้งขึ้น เมล็ดของพืชพันธุ์ได้เดินทางผ่านแต่ละช่วงเวลาของชีวิต เป็นไปตามวัฏจักรที่ไม่รู้จบของฤดูกาล เตือนให้รู้ว่าการเดินทางของชีวิตนั้นไม่เคยสิ้นสุด ชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งในปริศนาของวัฏจักรอันเป็นนิรันดร์ เราใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อแสวงหา แต่ไม่เคยได้รับคำตอบว่า "เราเป็นใคร" และ "เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร" คำถามนี้วนเวียนอยู่ตลอดชีวิตเรา 


ฤดูกาลยังให้มุมมองใหม่แก่เรา ให้เราได้มองเห็นว่าการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงและภารกิจของชีวิตนั้นมิได้อยู่แค่การค้นหาจากเพียงภายใน หรือแม้กระทั่งจากวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น ฤดูกาลช่วยให้เรามองเห็นการแสวงหาตัวตนที่แท้จริงจากมุมมองของสรรพสิ่งอันไพศาล เป็นโลกแห่งสรรพสิ่งซึ่งชีวิตของเรารวมอยู่ในนั้นด้วย 


ฤดูใบไม้ร่วง


ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่สวยงามอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นฤดูของการเสื่อมถอยด้วย เวลากลางวันสั้นลงเรื่อยๆ แสงอาทิตย์เบนออกเป็นมุมเฉียง และความอุดมสมบูรณ์ของฤดูร้อนกำลังเสื่อมถอยลงสู่ความแร้นแค้นของฤดูหนาว ในเมื่อต้องเผชิญกับฤดูหนาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ธรรมชาติได้ให้อะไรกับฤดูใบไม้ร่วงบ้าง สิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ฤดูใบไม้ร่วงคือการหว่านเมล็ดพันธุ์เตรียมพร้อมสำหรับการงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ และปริมาณของเมล็ดพันธุ์ที่แพร่กระจายนี้ก็มากมายอย่างน่าอัศจรรย์ 


ที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยรู้ตัวว่าผมได้รับเมล็ดพันธุ์อะไรบ้างจากฤดูใบไม้ร่วงของชีวิต ในทางตรงกันข้าม จิตใจผมมัวแต่จดจ่อ กับความเขียวขจีของฤดูร้อนที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและโรยรา ความงามในฤดูใบไม้ร่วงของผมมักจะเจือด้วยความเศร้า ความงดงามของธรรมชาติรอบตัวเป็นเครื่องเตือนให้รู้สึกถึงความสูญเสียที่กำลังจะมาถึง ผมหดหู่กับการสิ้นสุดของฤดูร้อนมากกว่าจะรู้สึกปิติกับความหวังของการเริ่มต้นกำเนิดชีวิตใหม่


แต่เมื่อผมใคร่ครวญสาส์นที่ได้รับจากฤดูใบไม้ร่วง ถึงปรากฏการณ์ที่ต่างกันสุดขั้วระหว่างความตายและการหว่านเมล็ดพันธุ์ ผมจึงรู้สึกถึงพลังของคำอุปมา ในฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมาของชีวิตผม ผมมักยึดติดกับการรับรู้แค่ระดับผิวเผิน ไม่ว่าจะเป็นการหมดความสนใจในบางเรื่อง ความเสื่อมถอยของมิตรภาพ และการตกงาน หากว่าผมจะมองให้ลึกซึ้ง ผมคงเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ มากมายที่ถูกหว่านเพาะเพื่อรอคอยการเติบโตในฤดูกาลใหม่ 


เมื่อย้อนมองกลับไป ผมมองเห็นหลายสิ่งที่เคยมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียงานที่ทำอยู่ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผมมาพบกับงานที่เป็นภารกิจชีวิตของตน หรือการที่ "หนทางปิดตาย" ส่งสัญญานให้ผมหันหน้าไปสู่ดินแดนใหม่ที่สร้างความชัดเจนให้กับความหมายของชีวิต หากมองอย่างผิวเผิน ฤดูใบไม้ร่วงดูเหมือนกับว่าชีวิตกำลังเสื่อมถอยลง แต่ทว่า เมล็ดพันธุ์จำนวนมากของชีวิตใหม่กำลังถูกหว่านเพาะอย่างเงียบๆ 


ความงดงามของฤดูใบไม้ร่วงทำให้มองเห็นความมีชีวิตซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความโรยราได้ชัดขึ้น ศิลปินจะวาดภาพของฤดูกาลแห่งความร่วงโรยนี้ด้วยสีสันอันสดใสได้อย่างไรหากธรรมชาติไม่ได้เป็นผู้แต่งแต้มให้ก่อน ในความเสื่อมสลายนั้นมีความงาม เป็นความงามซึ่งเราผู้หวาดกลัวและปฏิเสธความตายไม่สามารถมองเห็น บทเรียนของฤดูใบไม้ร่วงแสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งความตายและความงดงามนั้นอยู่ใกล้ชิดกันมากเพียงใด และได้สอนอะไรไรให้กับเรา


สำหรับผมแล้ว คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับคำถามนี้คือถ้อยคำของโธมัส เมอร์ตันที่ว่า "ในทุกสิ่งที่มองเห็นนั้น มีความเป็นหนึ่งเดียวกันซ่อนอยู่" ในโลกแห่งธรรมชาติที่เรามองเห็น มีความจริงแท้อันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ความเสื่อมถอยและความสวยงาม ความมืดและแสงสว่าง ความตายและชีวิต ไมได้เป็นสิ่งตรงข้ามกัน ทั้งหมดต่างอยู่รวมกันในสัจจะอันขัดแย้งของ "ความเป็นหนึ่งเดียว" นี้


ในสัจจะอันขัดแย้ง คู่ตรงข้ามไม่ได้ปฏิเสธการดำรงอยู่ของกันและกัน พวกมันต่างเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงอย่างยิ่ง ลึกไปกว่านั้น ทั้งสองอยู่ได้ด้วยการดำรงอยู่ของกันและกัน เช่นเดียวกับที่ร่างกายของผมต้องมีทั้งการหายใจเข้าและหายใจออก ในสังคมที่ชอบเลือกเอาแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ยากที่เราจะยอมรับด้านตรงข้ามทั้งสองในเวลาเดียวกัน เราปราถนาแสงสว่างที่ปราศจากความมืด ปราถนาความอุดมสมบูรณ์ของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนโดยไม่ต้องประสบกับความยากลำบากของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เป็นการต่อรองซึ่งเราไม่อาจทำได้กับชีวิต


เมื่อหวาดกลัวต่อความมือ เราจึงต้องการแสงสว่างตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งส่งผลเพียงประการเดียวคือ แสงสว่างเทียมซึ่งทั้งขาดความแจ่มกระจ่างและไร้ซึ่งความงามสง่า และเมื่อไกลออกไปจากพื้นที่ที่แสงส่องถึง ความมืดก็ยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้กับเรา เมื่อปราศจากด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ว่าความมืดหรือแสงสว่างเพียงอย่างเดียวล้วนไม่เหมาะต่อการดำรงชีวิต แต่ถ้าเรายอมรับสัจจะอันขัดแย้งของความมืดและแสงสว่าง การดำรงอยู่ร่วมกันของทั้งคู่จะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันและสุขภาวะของทุกชีวิต


ฤดูใบไม้ร่วงเตือนผมอยู่เสมอว่า ความเสื่อมถอยของแต่ละวันในตัวผมเป็นส่วนสำคัญที่จะนำความสดใหม่มาสู่ชีวิตหากผมพยายมาม "สร้าง" ชีวิตที่ปราศจากความเสื่อมถอยของฤดูใบไม้ร่วง อย่างดีที่สุดมันคงเป็นชีวิตที่มีแต่ความฉาบฉวย ปราศจากความจริงแท้และไร้ซึ่งสีสัน แต่เมื่อผมยอมรับในวัฏจักรซึ่งสอดประสานกัน ยอมรับความงอกงามและการร่วงโรย ชีวิตของผมจะเปี่ยมด้วยสีสัน มีคุณค่า และเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลก.


มีต่อ

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ14 ธันวาคม 2553 เวลา 14:16

    งดงามเหลือเกินครับ ขอบคุณที่นำมาแบ่งปัน

    ตอบลบ
  2. น่าอิจฉาจัง....ได้พักต่อนอนเล่นอยู่บ้านสบายอารมณ์เลย
    แถมได้หัวข้อเขียนบล๊อกอีก.....

    เราอ่านยังไม่จบหรอกน่ะ เลยยังไม่มีไอเดียเม้นให้ อ่านถึงประโยคที่บล๊อกเกอร์ สาธยาย ส่วนที่เป็นข้อความที่คัดมายังมิอ่าน...เห็นเขียนว่ามีต่อไว้อ่านทีเดียวเลยน่ะ...

    แวะมาทัก พอดีเกิดไอเดีย อยากให้เขียน เกี่ยวกับการทำงานที่เปรียบเสมือนการเดินทาง จะได้ให้แง่คิดกับคนทำงานด้วยกัน..._^_

    ตอบลบ
  3. แวะมาไม่ได้เม้น เพราะยังอ่านไม่จบเลยโนไอเดียค่อยแวะมาเม้นไมน่ะ เห็นบอกว่ามีต่อ ค่อยอ่านทีเดียวเลยละกัน

    แวะมาบอก ช่วยเขียนเรืองการทำงานกับการเดินทางน่ะ ....

    ตอบลบ