วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เวลาเมื่อต้องตาย

คุณเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตใช่ไหม? คุณเป็นคนที่รู้ตนเองว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต จะไปไหนเพื่ออะไรและเพื่อใคร? งั้นลองมาลิสต์ดูกันหน่อย ซึ่งข้าพเจ้าก็จะลิสต์ของตนเองออกมาเหมือนกัน


ข้างล่างนี้เป็นรายนามเป้าหมายความต้องการของข้าพเจ้าที่ต้องการให้สำเร็จในอีก ๕ ปีข้างหน้าแบบไม่โกหกตัวเอง
แผนงาน ๕ ปี

๑. มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
๒. มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง
๓. มีรถ ๑ คัน
๔. มีครอบครัว

ขั่นตอนต่อไปให้เอาเป้าหมายทั้งหมดที่ลิสต์ออกมาเขียนลงในกระดาษอีกแผ่นนึงโดยที่ให้เพิ่มประโยคต่อไปนี้ข้างหน้าแต่ละเป้าหมาย "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่" และให้เว้นพื้นที่ข้างหลังประโยคเล็กน้อยเพื่อเขียนคำตอบ ประโยคเต็มๆ ที่จะได้ตัวอย่างเช่นเป้าหมายที่หนึ่งของข้าพเจ้าก็จะเป็นดังนี้ "หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน"

คำตอบที่คุณตอบต้องเป็นคำตอบที่จริงใจที่สุด เรามีคำตอบให้คุณเลือกสองคำตอบเท่านั้น นั่นคือเสียใจกับไม่เสียใจ ทีนี้ก็มาดูคำตอบกันว่าเป็นยังงัย ของข้าพเจ้าออกมาลักษณะนี้

๑. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีงานที่ให้ประโยชน์ทั้งต่อตนเอง, ศาสนา, และผู้คน
คำตอบคือเสียใจ

๒. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีบ้านพร้อมสวนเป็นของตนเอง        คำตอบ ไม่เสียใจ
๓. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มี 1 รถคัน                         
คำตอบ ไม่เสียใจ

๔. หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้โดยที่ยังไม่มีครอบครัว                 
คำตอบ ไม่เสียใจ

คำตอบเหล่านี้ของข้าพเจ้าเป็นคำตอบที่ได้จากความเป็นตัวตนอันเป็นแรงผลักดันจากบริบททั้งสิ้นทั้งปวงที่บรรจงตัดแต่งและเสริมสร้างให้เป็นเช่นข้าพเจ้าทุกวันนี้ คำตอบของคุณอาจจะแตกต่างกันออกไปเพราะมันย่อมจะอ้างอิงถึงความเป็นตัวคุณ จากนั้นเรามาดูคำตอบกัน


คำตอบแรกของข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในหลายๆ เป้าหมาย ๕ ปี ทำไมต้องเสียใจกับเป้าหมายนี้ถ้าหากต้องตายไปแล้วยังทำไม่ได้ มันมาจากฐานความคิดที่ว่า เราเกิดมาแล้วต้องตายไปโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้คนอื่นเลยหรือ! มันชั่งเป็นหนึ่งชีวิตที่ต่ำเตี้ยและไร้ค่าสิ้นดี ด้วยชุดความคิดที่อิงศาสนาอิสลามที่ว่า ตายไปเราต้องไปเจออะไรหากไม่มีคุณความดีติดตัวดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าก่อนตายควรทำความดีเพื่อการเป็นอยู่ต่อไปหลังความตายมันจะได้สะดวกสบาย ไอ้ความดีที่ให้ผลประโยชน์ในระดับปัจเจก ทุกคนเขาก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีคุณความดีในระดับวงกว้างที่เผื่อแผ่ผู้คนมันคงเหมือนบ้านเช่าที่เราให้เขาเช่า ซึ่งเขาก็ต้องจ่ายค่าเช่าให้เราทุกเดือนไปแม้เราจะกระเษียรตัวเองแล้วก็ตาม ห้องเช่านั้นหรือหลายๆ ห้องเช่าก็ยังคงส่งต่อดอกผลให้เราอยู่เรื่อยไป


ทีนี้ก็มาดูเรื่องเวลาโดยอ้างอิงจากคำถามและคำตอบข้อแรกของข้าพเจ้า เมื่อได้คำตอบข้าพเจ้าหันมาดูตนเเอง ณ ขณะนี้ วันๆ เราทำอะไรบ้าง เวลาที่เราเสียไปในแต่ละวันมันตอบคำถามข้างต้นได้ดีแค่ไหน สิงที่ข้าพเจ้านั่งทำในแต่ละวัน ข้าพเจ้าเรียกมันว่างาน แต่มันเป็นงานทำเงินโดยไม่มีเวลาเจียดแบ่งไปทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นและสังคมอย่างแท้จริง เช้ายันค่ำเวลาหมดไปกับงานทำเงิน แล้วจะทำอย่างไรเราจะไม่ต้องเสียใจหากต้องตายในวันนี้ จะทำอย่างไรให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆ เราก็ได้ทำดีที่สุดในการงานเพื่อผู้คนและศาสนาอยู่บ้าง มันก็มาถึงเรื่องการแบ่งเวลา เราควรแยกให้ออกว่างานทำเงินกับงานทำบุญ บางครั้งมันคนละอย่างและบางครั้งมันก็เป็นงานเดียวกัน หากเราแน่ใจว่าลักษณะงานของเรามันบ่งบอกถึงการงานทำเงินโดยแท้ เช่นนั้นแล้วเราก็ควรเจียดเวลาหางานเพื่อบุญกุศลและความสุขทางใจบ้าง แต่หากมันรวมอยู่ในงานเดียวกันแล้วก็ดีเราจะได้ไม่ลำบากเรื่องการแบ่งเวลา แต่ถ้ามันไปด้วยกันไม่ได้เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วละว่าจะแบ่งเวลาอย่างไร หรือเปลี่ยนงานเป็นงานทำเงินเลี้ยงชีพครึ่งวัน อีกครึ่งวันเป็นงานเลี้ยงใจ เพราะเขาต่างก็บอกว่างานที่ให้ความสุขที่แท้จริงนั้นเป็นงานที่เราได้หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมาจัดสรรแบ่งเวลาเพื่อชีวิตสุขขีกายและใจ


การแบ่งเวลานั้นข้าพเจ้าคิดว่า การที่เราจะเป็นคนประสบความสำเร็จมันไม่จำเป็นจะต้องสามารถแบ่งเวลาในหนึ่งวันทำอะไรได้หลายๆ อย่างหรอก เอาแค่สองอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าวไปข้างต้นนั่นก็ถมเถแล้วแต่ต้องเป็นสองอย่างที่ทำให้ดีที่สุด เพราะหากต้องตายในวันนี้เราจะสบายใจได้ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว การทำดีที่สุดใจจะต้องมีสมาธิ เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะแบ่งเวลาได้เอง เพราะเราจะไม่ไปเสียเวลาหรือจับจดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เมื่อใจมีสมาธิเราก็จะรู้สึกว่าเรามีเวลาเหลือให้ทำอย่างอื่น หากใจไม่มีสมาธิมันจะวิ่งวุ่นไปทั่วงานตรงหน้าก็ไม่เสร็จ จับจดอีกต่างหาก สุดท้ายก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนแบ่งเวลาไม่เป็น


เวลาในหนึ่งวันเราแบ่งไปทำอะไรบ้าง เวลาในหนึ่งวันเราเอาไปใช้ทำอะไรกี่อย่าง แล้วแต่ละอย่างนั้นส่งเสิรมให้เราไปถึงเป้าหมายของเราหรือไม่ การตั้งคำถามเช่นนี้จะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เราต้องทำในวันพรุ่งนี้


ข้าพเจ้าว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าในหนึ่งวันเราสามารถแบ่งเวลาไปทำอะไรกี่อย่าง มันสำคัญตรงที่ว่าในหนึ่งวันนั้นการกระทำของเรามันสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตที่เรามีหรือไม่ เมื่อเราตระหนักการจัดสรรแบ่งเวลาก็จะเป็นเรื่องธรรมชาติไปเอง


ทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเพียงอากาศธาตุทางความคิดของข้าพเจ้า จะถูกจะผิดมันอีกเรื่องนึง

1 ความคิดเห็น: