15/5/2010
PMcondo town
Navamin, BKK
วันนี้มีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์มี
คนตายไปแล้วหลายศพ และที่บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
เมื่อคืนเสธแดงโดนยิงหัว
การตั้งจิต (เนียต)
การเขียนเรื่องนามธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ข้าพเจ้าเคยเขียนมานั้น หากเมื่อจะเริ่มเขียนหัวข้อใหม่ มักจะมีคำถามวนเวียนอยู่ซ้ำไป อ้าวแล้วที่เขียนๆ ไปคนเขียนเองเอาไปปฏิบัติจริงซักกี่อย่างเชียว บางครั้งก็เลยรู้สึกว่าการเขียนของเรานั้นเป็นเพียงการระบาย ประโยชน์อันใดไม่รู้ว่าจะไปถึงผู้อื่นหรือเปล่า ในเมื่อคนเขียนสักแต่ระบายความคิดแต่งแต้มด้วยการประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำแต่มิได้ลงมือปฏิบัติ
แต่ก็เอาเถอะถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็เลี่ยงการเขียนไม่พ้น ยังงัยมันก็ต้องเขียน อยู่ที่ว่าจะเอามาให้คนอื่นอ่านหรือเปล่าแค่นั้นเอง
แต่ก็เอาเถอะถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็เลี่ยงการเขียนไม่พ้น ยังงัยมันก็ต้องเขียน อยู่ที่ว่าจะเอามาให้คนอื่นอ่านหรือเปล่าแค่นั้นเอง
การตั้งจิต (เนียต ตามศัพย์อาหรับ) นั้นลองสังเกตและเปรียบเทียบในเหตุการณ์ต่อไปนี้
๑. เราเดินไปที่ก๊อกน้ำ บรรจงเปิดก๊อกน้ำและตั้งจิตว่ากูนี้จะอาบน้ำละหมาดซุฮรีเพื่อเอกองค์ท่าน
๒. เราปูพรมผินหน้าสู่กิบลัต หรืออาจจะเดินไปมัสยิดก็ตามแต่ จรดเท้าทั้งสองข้างยืนตรงผินหน้ามุ่งทิศกิบลัต และตั้งจิตว่า กูนี้ละหมาดซุฮรี ๔ รอกาอัตมะอฺมูม หรือไม่มะอฺมูมก็ตามแต่ เพื่อเอกองค์อัลลอฮฺ
๓. เดินกินลูกชิ้นอร่อยมากก มือซ้ายถือถุงน้ำแฟนต้าน้ำส้ม ๑๒ บาท เหลือบเห็นยัย\ ยายแก่นั่งขอทาน ความเอน็จอนาจจุกขึ้นมาถึงคอ ครั้นจินตนาว่ายัย\ ยายแก่คนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายแม่กูเสียนี่ แล้วทำไมแม่กูถึงต้องมาลำบากลำบนเป็นขอทาน ด้วยความสงสารจับจิตหย่อนเงินให้ ๑๐ บาท
๔. เจอเอกสารแจกฟรีหยิบขึ้นมาอ่านกล่าวถึงเรื่องการให้ทาน อ่านแล้วน่าเบื่อพูดเรื่องเดิมๆ อยู่ได้ วางมันไว้ตรงนั้นแหละ ถึงเวลาละหมาดก็ไปตามปกติ แต่มีอะไรพิกลไม่รู้มาได้ยังงัย จากที่จิตล่องลอยอยู่ สิ่งที่พุ่งเข้าชนความรู้สึกเมื่อกี้ทำให้รู้สึกกลัวตายและกลัวตกนรก น้ำตาปริ่มๆ ใหลออกมาเทียว ละหมาดเสร็จก็หย่อนตู้บริจากมัสยิด ๑๐ บาท เพราะนึกได้จากเอกสารที่เผอิญได้อ่านเมื่อเช้า
มีเหตุการณ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่สิบเหตุการณ์และอีกกี่สิบลักษณะที่เราปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือบังเอิญผ่านเข้ามาในวิถีชีวิตเราก็ตามแต่ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ อันหลอมรวมเป็นการดำเนินชีวิตของเราในหนึ่งวันนั้น จากมุมมองอิสลามที่ถูกปลูกฝังในความคิดและวิถีดำเนินชีวิต สิ่งแรกที่เคยร่ำเรียนมาคือ إنما الأعمال بالنيات ทุกกิจการงานใดจะแตกต่างหรือไม่แตกต่างจากกิจกรรมธรรมดาสามัญก็ด้วยการตั้งจิต การทำสิ่งนี้สิ่งนั้นเพื่อเอกองค์อัลลอฮฺเท่านั้น
ทีนี้มันก็มาถึงคำถามสำคัญที่ข้าพเจ้ามักจะถามตนเอง คือ แล้วการตั้งจิตเพื่อเอกองค์ท่านนั้นเป็นเช่นไร? เป็นเช่นป้ายแขวนตามมัสยิด ๓ จังหวัดชายแดนใต้ที่เขียนระบุว่า "ฉันเข้ามาและจะอิอตีกาฟในมัสยิดนี้เพื่อนอัลลอฮฺซุบฮานาฮูวาตาอาลา" หรือเหมือนกันตั้งจิต นาวัยตู บลา บลา บลา ก็ว่ากันไป
พึงสังเกตให้ดีลักษณะและความรู้สึกการตั้งจิต (ตามประสบการณ์เลยวัยเบญจเพศของข้าพเจ้านั้น) น่าจะแบ่งได้ ๒ ลักษณะ
๑ . ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูต่างๆ
๒. ลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตเพ่งเลงแต่ความรู้สึกมันบอกเองว่าฉันอยากทำความดีนี้ ณ เวลานั้น
ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูโดยภาพรวม คือ การที่เราจะอยู่นิ่งๆ จิตก็อ่านประโยคอยู่ในใจว่า ฉันทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อเอกองค์ท่าน มันเป็นการทำงานของความนึกคิด + กับการบีบคลายของหัวใจ หรือ หัวใจกายภาพนั้นเอง ซึ่งก็ปราศจากความรู้สึกใดๆ (ไม่เชื่อก็ลองสังเกตเอง เมื่ออาบน้ำละหมาดหรือยามตักบีร) ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่ามันคงจะเป็นลักษณะของกิจการใดที่เรากระทำจนเคยชิน เราก็เลยไม่มีความรู้สึกร่วมขณะตั้งจิต แต่เมื่อลองทำกิจกรรมอื่นที่ต้องมีการตั้งจิตนาวัยตูเป็นกิจจะลักษณะ ข้าพเจ้ากลับพบว่าตนเองก็เป็นเหมือนเคยคือก็ไม่ได้มีความรู้สึกซ้าบซ่านในการตั้งจิตทำดี (ข้าพเจ้ากล่าวถึงตนเอง it is not applicable to everybody) แปลกจริงการงานเช่นนี้ การตั้งจิตในงานลักษณะนี้ควรจะมีความรู้สึกร่วมด้วยสิ เพราะเราทำแล้วก็ไม่ได้เงิน ทำแล้วก็ไม่ได้อิ่มท้อง แต่เราต้องการความอิ่มใจ หากแต่ยามนาวัยตูต่างๆ ใจมันไม่รู้สึกรู้สา แล้วใจมันจะไปอิ่มได้อย่างไร ข้าพเจ้าจึงคิดเอาเองว่าถ้าอย่างนั้นแล้วมันก็เป็นเพียงการทำงานของหัวใจกายภาพนะสิ
ส่วนลักษณะการไม่ได้ตั้งจิตแต่ความรู้สึกมันจุกคออยู่นั่นแล้ว เช่นยามใดที่พระองค์ท่านทรงดลบันดาลให้หัวใจเราเกิดรู้ซึ้งถึงรสพระธรรมยามละหมาด น้ำตาปริ่มๆ จะไหล หลังละหมาดเสร็จมันอยากทำความดีไปเสียหมด อยากอ่านอัลกุรอาน อยากให้ทาน คืนนี้กูจะต้องตื่นละหมาดตะฮูยุด (สุดท้ายหลับสนิท) หรือการทำดีลับตาคน แม้ว่าขณะกระทำความดีนั้นเราจะพยายามตั้งจิตตั้งบรรทัดนียัตนาวัยตูว่าฉันทำเพื่อพระองค์ท่าน การทำดีลับตาคนมีเหตุผลมากมาย เช่น ความรู้สึกอยากทำดีในขณะนั้น แต่ก็กลัวว่าการทำดีนั้นจะสูญเปล่า เราจึงพยายามยัดบรรทัดนาวัยตูเข้าหัวใจขณะปฏิบัติไปด้วย (เรียงตามลำดับเลยนะ ความรู้สึก + เพื่ออัลลอฮฺ ) และก็มีบ่อยครั้งไปที่เราทำดีลับตาคนก็เพื่อความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์เท่านั้น (เพื่ออัลลอฮฺ + ความรู้สึกอาจมาทีหลัง)
ข้าพเจ้าถูกยัดเยียดความคิดที่ว่า "เราควรเนียตเรียนเพื่อศาสนาเพื่ออัลลอฮฺ" ข้าพเจ้ารับมาแล้วก็เงียบแต่หัวใจมันแหกปากถาม แล้วควรและเป็นยังงัยไอ้การเนียตเพื่ออัลลอฮฺเนี้ย ที่โรงเรียนเขาก็พูดกันแต่ก็ไม่มีใครให้ความกระจ่างนี้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาพูดกันว่าเราควรเรียนเพื่อศาสนา แล้วก็เรียนกันไปเรื่อยๆ จบแล้วก็ออกมาทำงาน ซึ่งก็เหมือนคนทั่วไป แล้ว significant ของเนียตมันอยู่ตรงไหน
The point of this article is ที่บอกว่าทุกการกระทำในชีวิตนี้เราควรเนียตเพื่อพระองค์มันจะได้ไม่สูญเปล่า แท้จริงแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะเมื่อกล่าวถึงการทำเพื่อพระองค์ เรามักจะใช้ใจกายภาพนึกอยู่ในใจว่าเราทำเพื่อพระองค์ ทั้งที่บางครั้งใจมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แข็งกระด้าง เช่นนั้นแล้วมันจะเป็นไปเพื่อพระองค์จริงๆ หรือ เพราะการทำดีนั้นด้วยตัวมันเองก็คือกิจกรรมหนึ่งที่เราทำ หากแต่แฝงด้วยบริบทอีกหลายๆ บริบทที่เป็นตัวกำหนดว่านั่นคือการทำดี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าความรู้สึกยามกระทำต่างหากที่บอกว่าเราทำเพื่ออัลลอฮฺ หากไม่รู้สึกมันก็แค่การทำดีธรรมดาๆ เท่านั้น
ปล. ทั้งหมดเป็นความคิดของข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียวจะผิดจะถูกผู้อ่านควรพิจารณาเอง
ปล๒ ที่ต้องเขียนคำบางคำเป็นอังกฤษนั้นเพราะยามที่ลงดร๊าฟในกระดาษความคิดมันออกมาเป็นอังกฤษ เลยไม่อยากตัดอรรถรสขณะเขียนนั้นทิ้ง
เนียต...เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนน่ะ
ตอบลบอืม...ว่าแต่ ผู้เขียนสามารถจำแนกเนียตได้ ใช้การสังเกตส่วนตัวล้วนๆเลยหรอ ถือว่ามีการสังเกตที่มีสติมาก
คนอ่านเอง บางทีอ่านไปยังคิดว่าเนียตสองประเภทนั้น มันเป็นอันเดียวกัน
ถ้าไม่มีการแยกอย่างชัดเจนก้อไม่สามารถเห็นภาพได้.
จากการบทความที่กล่าวไว้ แสดงว่าการทำความดีโดยไม่ได้เนียตไว้ล่วงหน้าว่าเราจะทำความดีนั้น มันดีกว่าการทำความดีที่เราเนียตล่วงหน้าหรือที่เพ็งเล็งจิตรว่าเราจะทำดี(๑ .ลักษณะการตั้งจิตเช่นนาวัยตูต่างๆ)หรอ...สรุปแบบนี้ถูกไหม
ไม่ใช่อย่างนั้น ความหมายของเราคือเวลาเนี้ยตก็ให้รู้สึกตัวบ้าง ไม่ใช่ว่ามีแต่ใจกายภาพที่ขยับตามความคิด แต่จิตสำนึกมิได้รู้สึกตัวว่าอยู่ตรงไหน
ตอบลบอ่อ....
ตอบลบ