พฤหัสบดีที่ล่วงมาข้าพเจ้านำพาตนเองขึ้นเขียงให้หมอที่จุฬาลงกรณ์รักษาสันจมูกคด เป็นคนไม่ค่อยจะมีธุระปะปังกับโรงพยาบาลมานานนม สองสามเดือนมานี้เข้าโรงพยาบาลดั่งสวนสนุก สุดท้ายตัดสินใจลองเอาไอ้ที่คดอยู่ในจมูกออกซะที ไม่อยากคิดว่าหมอทำอะไรกับรูจมูกของตนเอง (ให้เสียวสันหลังได้ทุกครั้งไป) สิ่งที่จำได้ดีคือการที่หมอเอาสิ่วมาตอกกระดูกให้รูจมูกนี่สิ มันไม่เจ็บหรอกเพราะฤทธิ์ยาชานั้นแรงได้ใจดีนักแล แต่คิดอยู่ในใจเองว่า เฮ้ย คุณหมอ ต้องอะไรขนาดนี้เลยเหรอ จมูกคนนะครับไม่ใช่ไม้แกะสลัก กระบวนการทั้งสิ้นทั้งปวงไม่ได้เจ็บมากมาย ทนนอนกำมือตนเองได้สบาย แต่อยากให้มันเสร็จๆ เสียเร็วๆ
ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะทำให้อาการง่วงที่เป็นอยู่จะหายไปหรือเปล่า (อันที่จริงก็ไม่ได้หวังด้วยซ้ำว่ามันจะหายไปเพราะการผ่าตัดครั้งนี้) คิดเพียงว่าก็ยังดีกว่าปล่อยปละละเลยไม่ดูดำดูดีให้มันรบกวนอารมณ์และวิถีชีวิตเช่นที่คนปกติควรจะมี
การเดินเข้าออกโรงพยาบาล ดิ้นรนศึกษาถึงอาการโรคที่เป็นอยู่ ไปมาก็หลายแห่ง และที่คิดจะไปก็อีกหลายที่ ขนานไปกับเหตุการณ์โลกที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน พันธมิตรโจมตีลิเบีย จราจลในประเทศอาหรับ ซินามิและนิวเคลียร์ในญี่ปุ่น ฤดูกาลและอากาศโลกแปรปวน ข้าวยากหมากแพง ข้าพเจ้าไม่ได้หมดอาลัยตายอยากต่อเหตุการณ์โลก เพียงแต่หากกลับมาดูตัวตนที่กำลังต่อสู้กับโรคภายในตนซึ่งถือเป็นระดับปัจเจกชน กับเหตุการณ์ทั้งหมดที่โลกเรากำลังประสบอยู่ซึ่งถือเป็นระดับองคาพยพของมวลมนุษย์ชาติโดยเฉพาะฤดูกาลที่กำลังส่งสัญญานอย่างขมีขมันว่าใกล้ถึงเวลาแล้วนะ แล้วที่ข้าพเจ้ากำลังพยายามบำรุงรักษาตนเองเพียงเพื่อจะรอคอยดูความโกลาหลในโลกงั้นหรือ
ข้าพเจ้าเพียงจะบอกว่าหากเปรียบเทียบระหว่างการดิ้นรนของปัจเจกชน กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและทบทวีคูณในโลก ณ ปัจจุบัน มันชั่งห่างไกลกันเสียเหลือเกินแต่กลับส่งผลกระทบได้ใกล้ชิดอย่างไม่น่าเชื่อ
salindongbayu
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น