01/8/2010
ST3-9
AIT
การโตเป็นผู้ใหญ่ในความคิดของข้าพเจ้าในดูเหมือนมันจะไม่มีผลดีอันใดนอกจากสามารถหาเงินใช้ได้เองและมีความพร้อมที่จะเจริญพันธ์ นอกเหนือจากนี้้ล้วนแล้วนำมาซึ่งความลำบากและความรำคาญแก่ทั้งหัวใจและตัวตนทั้งสิ้น มิได้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและไม่อยากเป็นคนลักษณะเช่นนั้น มิหนำซ้ำก็ไม่อยากจะกลับไปเป็นเด็กอีก แต่สภาพการณ์ที่พบเจอในปัจจุบันมันบีบและหลอมเอาความคิดของข้าพเจ้าไปในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเหงาที่ทบทวีคูณ ความเครียดที่ไม่เคยจินตนาการออกยามเป็นเด็กว่ามันเป็นเช่นไร การวางตนให้อยู่ในศีลในธรรมทั้งกรอบสังคมและศาสนา ความกังวลต่ออนาคตและความน้อยใจต่ออดีตที่ล่วงมา ซึ่งทั้งหมดไม่เคยกระทบกระทั่งต่อความคิดของเด็ก แต่กลับมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของคนที่โตแล้ว ใหญ่หลวงในที่นี้คือ ชีวิตเกือบทั้งวันของแต่ละวันหมดสิ้นไปกับความกังวลในหลายๆ เรื่อง จิตใจไม่แช่มชื่น มัวแต่กังวล และมักจะฝันถึงชีวิตที่เบิกบานและเต็มอิ่ม
จึงกลายเป็นคำถาม ถามตนเองอยู่เสมอว่าแล้วอะไรที่ทำให้กังวล แล้วจะมีวิธีการกำจัดความกังวลเหล่านั้นได้หรือไม่ และหากเมื่อกำจัดแล้วมันจะมีความสุขได้จริงหรือ เราสามารถจะกำจัดความกังวลโดยการลิสต์ออกมาแล้วกำจัดออกไปทีละอย่างหรือไม่ เฉกเช่นที่ข้าพเจ้ามักจะลิสต์การงานต่างๆ ออกมา แล้วก็ขีดฆ่าการงานที่ทำเรียบร้อยแล้ว และเมื่อพบว่าลิสต์ทุกอย่างถูกขีดฆ่าก็บังเกิดความสบายใจขึ้นมาบ้างว่า เราทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนะ งั้นก็คลายกังวลกับการงานได้แล้ว แล้วกับความกังวลอย่างอื่นๆ ข้าพเจ้าสามารถใช้วิธีการนี้เพื่อคลายความกังวลของตนเองได้หรือไม่?
เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่ชีวิตคนๆ หนึ่งจะต้องมาหมดเวลาไปกับความกังวลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน, ปากท้อง, ความรัก, ความเหงา, แล้วก็ความรู้สึกต่างๆ การมีชีวิตอยู่และการดำรงอยู่ของคนเราควรจะต้องมีความสุขอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วจะมานั่งหายใจเพื่อให้ตนเองเป็นทุกข์ให้เปลืองข้าว เปลืองน้ำ และเปลืองทรัพยากรของโลกไปทำไม ชีวิตคนเราควรที่จะต้องไร้กังวลและมีความสุขทุกๆ วัน ควรจะเบิกบานได้ทุกขณะ แล้วนี่อะไรกันวันๆ ก็ต้องมานั่งกังวลกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ เดือนหน้า และอีกหกเดือนถัดไปทั้งๆ ที่วันนี้ก็ยังไม่ผ่านพ้น มันไม่มากไปหน่อยหรือสำหรับชีวิตๆ หนึ่ง
แต่มนุษย์นั้นย่อมรู้ดีว่าบางอย่างเราไม่ได้เชื้อเชิญแต่มันเดินเข้ามาเอง จริงอยู่ที่เราต้องการมีชีวิตที่มีความสุขทุกวัน แต่บางครั้งชีวิตก็เหมือนตกอยู่สภาพถูกมัดมือชก น้ำท่วมปาก อยากจะปฏิเสธ หากดูแต่ปัจจัยรายล้อมก็จำใจคอตกพูดอะไรไม่ได้และไม่ออก แน่นอนว่านี่ย่อมเป็น statement ที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะเอาเข้าจริงๆ เรานั่นเองที่เป็นคนเลือกสรรพสิ่งของต่างๆ ใส่เข้าไปในชีวิต แต่ในอีกด้านก็ต้องตระหนักด้วยเช่นกันว่าการเลือกบางสิ่งในบางครั้งมันรายล้อมไปด้วยเงื่อนไขและปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งมันมากกว่าการเลือกไม่เอาอันนี้แตะจะเอาอันนั้น
ชีวิตปราศจากความกังวลนั้นดูเหมือนง่าย แต่โดยเนื้อแท้ต้องผ่านกระบวนการหลายขั่นตอนกว่าจะได้ชีวิตหนึ่งที่ปราศจากกังวลจริงๆ
ไกลกังวล
ชอบคำนี้จัง
ตอนเป็นเด็ก เราไม่ได้กังวลคิดถึงสิ่งใดเลย อยู่กิน เล่น นอนไปวันๆ ดูช่างสบายใจเหลือเกินที่เกิดมาเป็นเด็ก
ตอบลบแต่มีคนที่กังวลแทนเด็กคนนั้น คือพ่อแม่หรือคนที่ดูแลเขา พ่อแม่นั้นกังวลว่าลูกจะอยู่ดีกินดีไหม สุขภาพแข็งแรงรึเปล่า อนาคตลูกจะเป็นยังไง ความกังวลของพ่อแม่คือพยายามไม่ให้ลูกของเขาต้องลำบากหรือป่วยไข้ใดๆ พยายามให้ลูกเขามีอนาคตทีดีที่สุดเท่าที่เขาสามารถจะทำให้ลูกได้ ความกังวลนี้บางทีก้อไม่ได้ลำบากเลยสำหรับท่าน ให้ท่านได้กังวลดีกว่า เพื่อจะให้ลูกท่านสบาย เพราะเมื่อใดที่ลูกท่านไม่สบายหรือเดือดร้อน ท่านเหล่านั้นจะไม่สบายและเดือดร้อนเป็นสองเท่า
ครั้นเมื่อเราโตขึ้นมา ความกังวลก้อได้มาเยือนให้เราได้เรียนรู้บ้าง....
คนโตแล้วที่ยังไม่มีงานก้อกังวลกับงาน คนที่มีงานก้อกังวลกับเพื่อนร่วมงาน
คนที่ไม่มีคนรักก้อกังวลกับการไม่มีใคร ส่วนคนที่มีคนให้รักกลับกังวลกับสิ่งที่ต้องปฏิบัติกับคนรัก
คนที่ยังไม่แต่งงานก้อกังวลว่าเมื่อไรจะได้แต่งงาน คนที่แต่งไปแล้วก้อกังวลกับอนาคตและความมั่นคงของครอบครัว
นานาความกังวลที่มนุษย์เราต้องเจอตราบที่ยังมีชีวิตอยู่..อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้.....
อยู่ที่ว่าเราจะสามารถรับมือและคลายความกังวลนั้นลงได้อย่างไร จะมีใครอยู่ข้างๆเรา เมื่อเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับความกังวลนั้นไหม
มันคงจะดีถ้ามีใครสักคนที่เข้าใจและร่วมเดินฝ่าฟันความกังวลนั้น
มันคงเป็นวัคซีนอย่างดีที่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้เราได้เข้มแข้งขึ้นและลุกขึ้นเดินหน้าได้อย่างมีพลัง .....
ใครซักคนนั้น....จะมีไหม???