วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ถึงคนกลุ่มโรค

อัซซาลามูอาลัยกุม วาเราะหฺมาตุลลอฮฺ วาบารอกาตุฮฺ
ก็อัลฮัมดูลิลละฮฺ เรื่อยๆ สบายดี ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย


ชีวิตก็เช่นนี้เอง มันเหมือนคลื่นลมในทะเลกว้าง ที่บางครั้งมันก็นิ่งสงบจนน่าฉงน บางครั้งก็มีคลื่นแรงจนเจ้าตัวเองจะยืนอยู่ด้วยสองขาก็ยังยืนไม่อยู่ บางครั้งมันก็มีคลื่นน้อยๆ ลู่ถลาปะทะแดดใสในวันอากาศปลอดโปร่ง แต่บางวันคลื่นในทะเลเดียวกันกลับบ้าคลั่งกระหน่ำได้ทุกทิศทาง หรือที่เขาเรียกมันว่าทะเลบ้านั่นเอง


... คิดๆ ไปเราก็สงสาร...นะ เพราะเราเคยและยังคงสงสารตัวเองนั่นเอง เรานั่นเองที่รู้ดีว่าตนเองเป็นเช่นไรและต้องผจญอะไรบ้าง และ...ก็มีอาการเช่นเรา เราจึงต้องสงสาร..ด้วย เพราะรู้ดีว่ามันเป็นเช่นไร แต่อย่างน้อยก็หวังว่า...คงจะไม่มีอาการรุนแรงเหมือนเรา




ไม่รู้สิ ไม่อยากจะเขียนให้มันลึกมากว่าเรามีอาการอย่างไร เพราะเอาเข้าจริงๆ เราก็คงไม่อยากจะรู้อาการของ..มากขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆ เราคงมีอาการของโรคอยู่ในกลุ่มเดียวกัน นั่นคือโรคความเหงา
ความเหงาสำหรับคนโตแล้ว มันเยือกเย็นได้สั่นจิตจนปากสั่นระริก มันเหน็บหนาว เดียวดาย และเหมือนเดินอยู่ในทุ่งกว้างที่มีแต่เสียงโหวกเวก (เพราะทุ่งที่เราหมายถึงก็คือสังคมเราดีๆ นั่นเอง) มีผู้คนมากมายที่เดินผ่านเข้ามาในแนววิถีชีวิตเรา หรือเดินเคียงบ่าไปเรื่อยๆ แต่แปลกจริงเรากลับไม่เคยรู้สึกอุ่นใจอย่างแท้จริงที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้น จิตใจบอกอยู่ตลอดเวลาว่านั่นมันก็แค่บุคคลที่มีที่ไปของตนเอง บางครั้งเราก็คิดว่าจากเปอร์เซ็นจำนวนประชากรโลกที่มีมากจนเขาคาดการณ์ว่าอาหารจะไม่พอต่อจำนวนประชากรโลก แต่กับการค้นหาบุคคลหนึ่งกลับทำได้ยากเย็น เราแค่ต้องการคนหนึ่งคนแต่กลับเหมือนงมอะไรซักอย่างในโลกกว้าง มันน่าจะง่ายแต่เปล่าเลยมันยากที่สุดจริงๆ


ที่สงสารนั้นไม่ใช่สมเพช แต่สงสารเพราะเข้าใจและเห็นใจในความยากลำบากที่ต้องเผชิญเหมือนๆ กัน บางครั้งความยากลำบากดังกล่าวเราต้องบำบัดมันด้วยการเดินในยามวิกาลเป็นระยะทาง 3-4 กิโลเมตรเพื่อระงับอาการให้หัวใจและร่างกายได้พักผ่อนได้บ้าง มิเช่นั้นแล้วการอยู่เฉยๆ จะยิ่งทำให้หัวใจต้วเองถูกทิ่มแทงจากเข็มหลายๆ อัน


ทำไมถึงสงสาร ก็เพราะจดหมายฉบับนี้มันบ่งอาการ การไม่มีอะไรทำ และรอความหวังจากคนอื่นนั้นมันน่าสงสาร ซึ่งเราก็เคยประสบและยังคงประสบอยู่เรื่อยนั่นเอง มันเป็นการรอด้วยความหวังที่แทบจะไม่มีความหวัง งงไหมเล่า? เรารอด้วยความหวังทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังนั้นเป็นความหวังในม่านหมอกที่รางเลือน
 
ด้วยเหตุนี้หลักธรรมศาสนาจึงต้องเข้ามาสอดรับและแก้ไขเหตุและปัจจัยที่ว่า เราพยายามนั่งสมาธิ เราพยายามฝึกการสงบสติอารมณ์ เราพยายามมีชีวิตอยู่ด้วยความสุข เราพยายามมีชีวิตอยู่ด้วยความพอเพียง เราพยายามตัดปัจจัยต่างๆ ที่คิดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อหัวใจ เราพยายามมีความสุขโดยที่ไม่ต้องมองหาจากแหล่งอื่นนอกจากๆ ข้างใน แต่ก็นั่นแหละมันย่อมมีช่องโหว่ที่หลุดรอดไปได้บ้าง แต่อย่างน้อยเราก็เริ่มทำอะไรบางอย่างที่ไม่ต้องนำพาตัวเองไปพึ่งพากำลังจากภายนอก




การพยายามยืนอยู่ด้วยตนเอง ลงมือทำทุกอย่างโดยไม่รอเสียงสนับสนุนจากใคร เดินทางไกลโดยไม่เคยหาเพื่อนร่วมทาง แน่นอนว่าเหตุเหล่านี้ย่อมเป็นปัจจัยที่เสริมหนุนให้เรามีอาการหนัก แล้วจะให้ทำอย่างไรในเมื่อการก่อกำเนิดและแวดล้อมที่เคยล่วงผ่านมานั้นมันหลอมเราให้เป็นเช่นนี้ และแน่นอนเราไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนมันด้วย


ที่ลากยาวมาทั้งหมดเพียงอยากจะบอก...ว่า จงพยายามยืนหยัดและตระหง่านด้วยความสุขใจโดยไม่ต้องรอกำลังผลักดันจากใคร เลิกสงสารตัวเอง (หาก...มีความรู้สึกนี้) แม้บางทีมันทำยากมาก ซึ่งเราเองก็พยายามอยู่เหมือนกัน เพราะจะไม่มีใครเห็นค่าเราหากเราไม่เลิกสงสารตัวเอง การสงสารตัวเองในที่นี้หมายถึงอาการเศร้าที่เผลอออกอาการโดยไม่รู้ตัว โดยจิตสำนึกส่วนลึกคิดว่าคงจะมีใครซักคนมาสงสารเรา และช่วยเราให้หลุดพ้นจากสิ่งที่เรากำลังดิ้นรนอยู่ แต่เปล่าหรอกในโลกไม่มีใครจะช่วยหรือมาสงสารเราหากเรายังมัวสงสารตัวเอง เพราะคนทั่วไปจะหนักหรือเบาย่อมมีปัญหาที่มีส่วนคล้ายกับปัญหาของเราไม่มากก็น้อย ดังนั้นคนทั่วไปย่อมที่ต้องการคนมาช่วยด้วยเช่นกัน ไม่มีใครมองหาใครที่จะช่วยแก้ปัญหาให้แต่ต่างก็มองหาใครที่จะมาช่วยแก้ปัญหาของตัวเองต่างหาก


ที่เขียนมาทั้งหมดเราก็เขียนไปอย่างนั้น หากจะถามว่าเราทำได้หรือยัง คำตอบคือ เราก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นการตกผลึกทางความคิดระดับนึงที่คิดว่ากลุ่มคนที่มีอาการโรคคล้ายกันน่าจะแชร์กันได้


โชคดี


วัซซาลาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น