วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ศาสนาบันทึกและตรรกะของข้าพเจ้า

ยามดึกดื่นใน
ช่วงท้ายของเดือนรอมฏอน 2012

ผลจากการนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งนี่คือก้อนความคิดบางส่วนที่ผุดขึ้นในกระแสความคิดของข้าพเจ้า
  • อิทธิพลของศาสนาต่อกระบวนทรรศน์และความคิด
  • ความศรัทธาที่ถูกปลูกฝัง
  • ความรู้สึกผิดอันถูกปลูกฝังโดยศาสนา ตัวอย่างเช่น การขี้เกียจอ่านกุรอ่านในเดือนรอมฏอน  ข้าพเจ้าถูกปลูกฝังเรื่องคุณค่าของเดือนรอมฏอนที่ประเสริฐกว่าเดือนอื่นๆ  ในแง่ผลบุญและการทบทวีคูณในหลายๆ ด้าน จึงส่งเสริมให้ทำดีกันให้มากในเดือนนี้ หนึ่งในความดีในแนวทางอิสลามคือการอ่านกรุอ่าน แต่ก็จะมีบางช่วงเวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกขี้เกียจอ่านกรุอ่าน ทำตัวเหลวไหล ซึ่งในช่วงเวลาที่ขี้เกียจนั้นความรู้สึกผิดบางประการก็แทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ การไม่ตั้งใจอ่านกุรอ่าก็เหมือนเราไม่รู้จักคุณค่าของเดือนนี้  เราจึงรู้สึกผิด เพราะทำยังงัยเราก็ขี้เกียจอ่านอยู่ดี 
  • ในอีกด้านหนึ่งหากข้าพเจ้าขี้เกียจอ่านกรุอ่านในเดือนรอมฏอน แต่ใจข้าพเจ้าไม่รู้สึกผิด ศาสนาก็ระบุว่านั่นคืออาการของคนที่จิตใจตายด้านและด้านชา เพราะถูกปกคลุมด้วยกิจกรรมบาปต่างๆ แรกเริ่มมันเป็นเพียงจุดดำจุดเล็กๆ หากยังคงปฏิบัติมันเรื่อยๆ จุดดำหลายๆ จุดก็จะกินพื้นที่จิตใจด้านดี สุดท้ายจิตใจก็มืดบอด กลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกผิดบาปเมื่อกระทำผิด นี่เป็นกระบวนการทางศาสนาที่ครบวงจรใช่หรือไม่?
  • ข้าพเจ้าลองคิดว่าถ้าเราไม่มีความทราบซึ้งกับคำสอนเก่าก่อนถูกปลูกฝังตั้งแต่ต้น ความรู้สึกผิดเหล่านั้นก็จะไม่เกิดขึ้นเลยใช่หรือไม่ เพราะทั้งสองสิ่งนั้นมันเกี่ยวโยงเป็นเหตุและผลที่ร้อยเข้าด้วยกัน 
  • หนึ่งในแท่งความคิดของข้าพเจ้าบอกว่า หากเปรียบเทียบความรู้สึกผิดอันอ้างอิงอยู่กับหลักปฏิบัติทางศาสนาที่ระบุว่า ศาสนิกควรปฏิบัติวัตรบางประการ แต่เรากลับขี้เกียจที่จะปฏิบัติ (อิสลามเรียกว่าความผิดอันมีต่อพระองค์อัลลอฮฺ) กับความรู้สึกผิดในการทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน เช่น ฆาตกรรม ลักขโมย ผิดประเวณี มันให้น้ำหนักในความผิดทางความรู้สึกต่างกันตามการสัมผัสของมนุษย์ ก็ในเมื่อความรู้สึกผิดต่อพระองค์อัลลอฮฺมนุษย์เรายังไม่เห็นผลเพราะอัลลอฮฺทรงตรัสว่า ผลของมันคือการชำระล้างในนรก มนุษย์เราจึงได้แต่รู้สึกผิด กลัวแต่ไม่ชัดเจน เท่ากับการที่เราฆ่าคน เห็นเลือด เห็นความทรมานของเพื่อนมนุษย์ แค่นั้นเราก็รู้สึกว่าเราตกนรกแน่ๆ 
  • เขียนไปเขียนมาทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าศาสนาพยายามวางกรอบ และหากเราเดินออกนอกกรอบศาสนาก็มีบทลงโทษ
  • เมื่อกี้นั่งดูละคร ใจนึงก็อยากดู อีกใจนึงก็กังวลว่าเรากำลังทำเรื่องไร้สาระในเดือนรอมฏอน เราฆ่าเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จึงเกิดอาการปิดโทรทัศน์ซักพักก็กลับไปเปิดใหม่เพราะอยากดู 
  • หากเราไม่มีหลักศรัทธาชีวิตเราจะง่ายขึ้นและมีความสุขขึ้นหรือไม่? เพราะเราจะได้ไม่รู้สึกผิดกับเรื่องสามัญเล็กๆ น้อยๆ อย่างการดูละคร หรือกินข้าวไม่หมด
  • เพราะอิสลามมีกฏข้อหนึ่งที่ครอบจักรวาลมาก คือ แล้วพระองค์จะทรงสอบสวนกับเวลาที่พวกเราใช้ไป ใช้ไปทำอะไรบ้าง หากใช้ไปในสิ่งที่ไร้ประโยชน์มันก็ผิด  (เพราะมุสลิมจะต้องหลีกห่างความไร้สาระทั้งปวง) อย่างนี้แล้วเราก็จะมีความรู้สึกผิดตลอดเวลา ใครจะไปทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ได้ตลอดเวลา
  • แห่หากถามข้าพเจ้าว่า งั้นควรอยู่ในกรอบของศาสนาหรือไม่? คำตอบคือ ควร เพราะการอยู่นอกกรอบมันก็ไม่ได้มีความสุขมากกว่าการอยู่ในกรอบหรอก คือบางครั้งเราก็อยากจะปล่อย เราเบื่อแล้วเราก็อยากจะกลับเข้าไปอยู่ในกรอบใหม่
  • ข้าพเจ้าทำตัวเยี่ยงอิบราฮิมหรือนี่ เที่ยวตามหาและตั้งคำถามถึงองค์อภิบาล
  • ตัวศาสนาอิสลามแท้จริงมันมีบทบังคับแบบฟันธงจริงหรือเปล่า หรือมันเป็นเพราะผู้ที่เอามาสอนและเผยแพร่มากกว่า ที่สอนแบบออกคำสั่ง เลยทำให้เรารู้สึกว่าอิสลามชอบบังคับจริง